How science fiction can help predict the future - Roey Tzezana

นิยายวิทยาศาสตร์ช่วยทำนายอนาคตได้อย่างไร - โรอี้ ทเซซาน่า (Roey Tzezana)

Translator: Pathumjit Atikomkamalasai Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut

Would you like to know what's in our future?

อยากรู้ไหมครับ ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

What's going to happen tomorrow, next year, or even a millennium from now?

ว่าวันพรุ่งนี้ ปีหน้า หรือพันปีข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น

Well, you're not alone.

คุณไม่ได้สงสัยอยู่คนเดียวหรอกครับ

Everyone from governments to militaries to industry leaders do, as well,

ทัั้งรัฐบาล กองทัพ ผู้นำโลกอุตสาหกรรม ก็สงสัยเหมือนกัน

and they all employ people called futurists

พวกเขาต่างว่าจ้าง "นักอนาคต"

who attempt to forecast the future.

พยายามมาทำนายอนาคตดู

Some are able to do this with surprising accuracy.

พวกเขาบางคนทำนาย ได้แม่นยำจนน่าทึ่งเชียวล่ะ

In the middle of the 20th century,

ช่วงกลางศตวรรษที่ 20

a think tank known as the RAND Corporation

สถาบันวิจัยที่ชื่อว่า แรนด์ คอร์โปเรชั่น (RAND)

consulted dozens of scientists and futurists

ระดมพลังสมองนักวิทยาศาสตร์ และนักอนาคตจำนวนหนึ่ง

who together forecast many of the technologies

พวกเขาร่วมกันคาดการณ์ ว่าจะเกิดเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่าง

we take for granted today,

ที่ในปัจจุบัน พวกเรามองว่าเป็นของธรรมดา

including artificial organs,

ตัวอย่างเช่น อวัยวะเทียม

the use of birth control pills,

ยาคุมกำเนิด

and libraries able to look up research material for the reader.

ห้องสมุดที่ค้นหาข้อมูล ให้กับผู้อ่านได้ตามต้องการ

One way futurists arrive at their predictions

วิธีหนึ่งที่นักอนาคต ใช้คาดการณ์ทำนาย

is by analyzing movements and trends in society,

คือการวิเคราะห์การเคลื่อนไหว และค่านิยมของสังคม

and charting the paths they are likely to follow into the future

มองหาแนวทางที่คาดว่า น่าจะถูกเลือกเพื่อก้าวต่อไปในอนาคต

with varying degrees of probability.

โดยแต่ละแนวทางก็มี ความน่าจะเป็นแตกต่างกันไป

Their work informs the decisions of policymakers and world leaders,

งานของพวกเขา จะช่วยผู้วางแผนนโยบายและผู้นำโลก

enabling them to weigh options for the future

ให้พวกเขาชั่งน้ำหนักทางเลือกแต่ละทาง

that otherwise could not have been imagined in such depth or detail.

ซึ่งหากไม่ใช่วิธีนี้ ก็คงไม่อาจจินตนาการ ได้ละเอียดและลึกซึ้งอย่างนี้ได้

Of course, there are obvious limits to how certain anyone can be about the future.

แน่ละครับ ว่าก็ต้องมีข้อจำกัด ว่าคนเราจะคาดการณ์ถึงอนาคตได้แค่ไหน

There are always unimaginable discoveries that arise

อย่างไรก็ต้องมีการค้นพบ ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเกิดขึ้น

which would make no sense to anyone in the present.

การค้นพบที่สำหรับคน ในยุคปัจจุบันแล้ว เป็นไปไม่ได้

Imagine, for example,

ลองจินตนาการดูนะครับ

transporting a physicist from the middle of the 19th century

หากเราส่งตัวนักฟิสิกส์ จากช่วงกลางศตวรรษที่ 19

into the 21st.

ข้ามเวลามาศตวรรษที่ 21

You explain to him that a strange material exists, Uranium 235,

อธิบายให้เขาฟังว่า มีธาตุประหลาดตัวหนึ่ง ชื่อ ยูเรเนียม 235

that of its own accord can produce enough energy to power an entire city,

ที่ตัวมันเองสามารถผลิตพลังงาน มากพอจะใช้ได้ทั้งเมือง

or destroy it one fell swoop.

หรือทำลายทั้งเมืองได้ภายในพริบตา

"How can such energy come from nowhere?" he would demand to know.

เขาย่อมอยากรู้ว่า "แล้วพลังงานนี้มาจากที่ไหน"

"That's not science, that's magic."

"นี่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์แล้ว มันเวทมนตร์ชัด ๆ "

And for all intents and purposes, he would be right.

ถ้าเราพูดกันจริง ๆ เขาก็พูดถูกนะครับ

His 19th century grasp of science

ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ ในยุคศตวรรษที่ 19 ของเขานั้น

includes no knowledge of radioactivity or nuclear physics.

ไม่มีความรู้เรื่องกัมมันตรังสี หรือฟิสิกส์นิวเคลียร์อยู่ด้วย

In his day, no forecast of the future could have predicted X-rays,

ในยุคของเขา ต่อให้ทำนายอนาคตอย่างไร ก็ไม่มีใครทำนายเรื่องรังสีเอ็กซ์

or the atom bomb,

หรือระเบิดปรมาณูได้

let alone the theory of relativity

อย่าว่าแต่ทฤษฎีสัมพันธภาพ

or quantum mechanics.

หรือกลศาสตร์ควอนตัมเลยครับ

As Arthur C. Clarke has said,

ก็อย่างที่อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก พูดไว้

"Any sufficiently advanced technology is indistinguishable from magic."

"เทคโนโลยีล้ำหน้าล้ำสมัย กับเวทมนตร์นั้นแยกกันไม่ออก"

How can we prepare, then, for a future that will be as magical to us

แล้วเราจะเตรียมตัวรับมือ กับอนาคตที่เหมือนเป็นเวทมนตร์

as our present would appear to someone from the 19th century?

เหมือนอย่างที่ในสายตาคน จากศตวรรษที่ 19 มองเราได้อย่างไร

We may think our modern technology and advanced data analysis techniques

เราอาจคิดว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเทคนิคการวิเคราะห์ที่ก้าวหน้า

might allow us to predict the future with much more accuracy

จะช่วยให้เราคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำขึ้น

than our 19th century counterpart,

เมื่อเทียบกับคนในศตวรรษที่ 19

and rightly so.

ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกครับ

However, it's also true that our technological progress

แต่อย่าลืมว่า ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของเรา

has brought with it new increasingly complex and unpredictable challenges.

ก็ยังก่อให้เกิดความท้าทาย ที่ซับซ้อนและคาดเดาไม่ถูกด้วย

The stakes for future generations to be able to imagine the unimaginable

สำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป การพยายาม จินตนาการถึงเรื่องที่น่าทึ่งเกินจินตนาการ

are higher than ever before.

มันจะยากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะครับ

So the question remains:

คำถามก็คือ

how do we do that?

แล้วเราจะทำได้อย่างไร

One promising answer has actually been with us since the 19th century

จริง ๆ แล้ว เราได้คำตอบ ที่พอจะเข้าท่ามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19

and the Industrial Revolution

และการปฏิวัติอุตสาหกรรม

that laid the foundation for our modern world.

ที่วางรากฐาน ให้กับโลกสมัยใหม่ของเราแล้วล่ะครับ

During this time of explosive development and invention,

ช่วงเวลานี้ที่เกิดการพัฒนาและการคิดค้น เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

a new form of literature, science fiction, also emerged.

งานเขียนแนวใหม่ อย่างนวนิยายวิทยาศาสตร์ ก็เกิดขึ้นในแวดวงวรรณกรรม

Inspired by the innovations of the day, Jules Verne, H.G. Wells,

จูลส์ เวิร์น, แอช.จี. แวลส์ และนักคิดคนอื่น ๆ

and other prolific thinkers explored fantastic scenarios,

ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งประดิษฐ์ในอดีต ทำให้พวกเขาสร้างงานเขียนแสนอลังการ

depicting new frontiers of human endeavor.

ที่บรรยายถึงขอบเขตใหม่ ของศาสตร์ต่าง ๆ ของมนุษย์

And throughout the 20th century and into the 21st,

และตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 จวบจนถึงศตวรรษที่ 21

storytellers have continued to share their visions of the future

นักเล่าเรื่องเหล่านี้ก็ยังคง แบ่งปันภาพอนาคตของพวกเขา

and correctly predicted many aspects of the world we inhabit decades later.

และคาดเดาอนาคตของโลกที่เราอาศัยกันต่อมา อย่างถูกต้องในหลาย ๆ แง่มุม

In "Brave New World,"

ใน "โลกวิไลซ์" (Brave New World)

Aldous Huxley foretold the use of antidepressants in 1932,

ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1932 อัลดัส ฮักซ์ลีย์ ทำนายเรื่องยาต้านโรคซึมเศร้า

long before such medication became popular.

นานก่อนที่ยาจำพวกนี้ จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย

In 1953, Ray Bradbury's "Fahrenheit 451," forecast earbuds,

ในปี ค.ศ. 1953 เรย์ แบรดบิวรีย์ ทำนายเรื่องหูฟังใน "ฟาเรนไฮต์ 451"

"thimble radios," in his words.

เขาเรียกมันว่า "ปลอกวิทยุ"

And in "2001: A Space Odyssey,"

และในเรื่อง "2001: สเปซ โอดิสซี่"

Arthur C. Clarke described a portable, flat-screen news pad in 1968.

อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก บรรยายถึง จอแสดงข่าวสารฉบับพกพา ไว้ในปี ค.ศ. 1968

In works that often combine entertainment and social commentary,

งานที่มักจะมีทั้งเรื่องบันเทิง และการสะท้อนสังคมเช่นนี้

we are invited to suspend our disbelief and consider the consequences

เราถูกชี้ชวนให้หยุดคิดกังขาชั่วครู่ แล้วลองคิดถึงผลที่จะตามมา

of radical shifts in familiar and deeply engrained institutions.

เมื่อแนวคิดคุ้นเคยและที่ถูกปลูกฝังมานาน เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

In this sense,

จะว่าไป

the best science fiction fulfills the words of philosopher Michel Foucault,

นวนิยายเชิงวิทยาศาสตร์ ทำให้คำพูด ของนักปรัชญา มีแชล ฟูโก เป็นจริง

"I'm no prophet. My job is making windows where there were once walls."

"ผมไม่ใช่ศาสดา หน้าที่ผมคือ การสร้างหน้าต่างจากที่ที่เคยเป็นกำแพง"

Free from the constraints of the present and our assumptions of what's impossible,

โดยไม่ต้องผูกยึดกับแนวคิดปัจจุบัน และการสรุปว่าอะไรที่เป็นไปได้บ้าง

science fiction serves as a useful tool for thinking outside of the box.

นิยายวิทยาศาสตร์กลายเป็น เครื่องมือมีประโยชน์ที่สอนให้เราคิดนอกกรอบ

Many futurists recognize this,

นักอนาคตหลายคนตระหนักถึงเรื่องนี้ดี

and some are beginning to employ science fictions writers in their teams.

บางคนก็เริ่มที่จะเชิญ บรรดานักเขียนเหล่านี้มาร่วมงาน

Just recently, a project called iKnow proposed scenarios

เมื่อไม่นานมานี้เอง โครงการที่ใช้ชื่อว่า รู้แล้ว (iKnow) เสนอสถานการณ์

that look much like science fiction stories.

ที่คล้ายคลึงกับเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตร์มาก

They include the discovery of an alien civilization,

ยกตัวอย่างสถานการณ์เช่น การค้นพบอารยธรรมต่างดาว

development of a way for humans and animals to communicate flawlessly,

การพัฒนาการสื่อสารให้คนและสัตว์ สื่อสารกันได้อย่างไร้พรมแดน

and radical life extension.

การยืดชีวิตคนให้ยืนยาวมากขึ้น

So, what does the future hold?

ตกลงแล้ว อนาคตเราจะเป็นยังไงหรือครับ

Of course, we can't know for certain,

แน่ละ ไม่มีใครรู้ได้แน่นอน

but science fiction shows us many possibilities.

แต่นวนิยายวิทยาศาสตร์ ก็พอช่วยบอกความเป็นไปได้ให้กับเรา

Ultimately, it is our responsibility

สุดท้ายแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับเราละครับ

to determine which we will work towards making a reality.

ว่าจะทำเรื่องไหนให้กลายมาเป็นความจริง