How long will human impacts last? - David Biello

Translator: Unyamanee Jantrasin

Imagine aliens land on the planet a million years from now

ลองจินตนาการถึงมนุษย์ต่างดาวที่มาถึง ดาวเคราะห์ของเราในอีกล้านปีต่อจากนี้

and look into the geologic record.

และพยายามหาหลักฐานทางธรณีวิทยา

What will these curious searchers find of us?

อะไรที่นักสำรวจขี้สงสัยเหล่านี้จะหาพบ

They will find what geologists, scientists, and other experts

พวกเขาจะเจอสิ่งที่นักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ

are increasingly calling the Anthropocene,

กำลังพูดถึงกันมากขึ้นว่า แอนโธรโปซีน

or new age of mankind.

หรือ ยุคใหม่ของมนุษย์

The impacts that we humans make have become so pervasive,

ผลกระทบจากการกระทำของพวกเรา มนุษย์ได้กระจายไปทั่ว

profound,

หยั่งรากลึก

and permanent

และถาวร

that some geologists argue we merit our own epoch.

ถึงขนาดที่นักธรณีวิทยาบางคนให้ความเห็นว่า เราได้สร้างยุคสมัยของเราเอง

That would be a new unit in the geologic time scale

ซึ่งจะเป็นหน่วยใหม่ในมาตราธรณีกาล

that stretches back more than 4.5 billion years,

มาตราธรณีกาลที่ยืดออกไปมากกว่า 4.5 พันล้านปี

or ever since the Earth took shape.

หรือตั้งแต่ที่โลกเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

Modern humans may be on par with the glaciers behind various ice ages

มนุษย์ยุคใหม่อาจอยู่ระดับเดียวกับ ธารน้ำแข็งจากยุคน้ำแข็งต่าง ๆ

or the asteroid that doomed most of the dinosaurs.

หรือ อุกกาบาตที่ทำลายไดโนเสาร์ส่วนใหญ่

What is an epoch?

อะไรที่เรียกว่า ยุคสมัย

Most simply, it's a unit of geologic time.

อธิบายง่าย ๆ มันคือหน่วยในมาตราธรณีกาล

There's the Pleistocene,

ในยุคสมัยไพลส์โตซีน

an icy epoch that saw the evolution of modern humans.

ยุคน้ำแข็งที่ได้เริ่มเห็นวิวัฒนาการ ของมนุษย์ยุคใหม่

Or there's the Eocene, more than 34 million years ago,

หรือ อีโอซีน มากกว่า 34 ล้านปีที่แล้ว

a hothouse time during which

ช่วงเวลาที่โลกร้อนสุด ๆ

the continents drifted into their present configuration.

ทวีปทั้งหลายได้เคลื่อนที่มาอยู่ ในรูปทวีปที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

Changes in climate or fossils found in the rock record

ความเปลี่ยนแปลงในอากาศ หรือ ฟอสซิลที่เจอในหิน

help distinguish these epochs and help geologists tell deep time.

ช่วยให้แยกยุคสมัยเหล่านี้และช่วย นักธรณีวิทยาให้สามารถบอกถึงเวลาที่ห่างไกล

So what will be the record of modern people's impact on the planet?

แล้วอะไรจะจดจารึกมนุษย์ยุคปัจจุบัน บนดาวเคราะห์แห่งนี้

It doesn't rely on the things that may seem most obvious to us today,

มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อาจจะดูเห็นได้ชัด สำหรับพวกเราในวันนี้

like sprawling cities.

เช่น เมืองใหญ่ต่างๆ

Even New York or Shanghai may prove hard to find

แม้แต่ นิวยอร์ค หรือ เชี่ยงไฮ้ อาจพิสูจน์ว่ายากที่ค้นพบ

buried in the rocks a million years from now.

เพราะถูกทับถมอยู่ข้างใต้ก้อนหิน พันล้านปีต่อจากนี้

But humans have put new things into the world

แต่กระนั้นมนุษย์ได้สร้างสิ่งใหม่ขึ้นในโลก

that never existed on Earth before,

สิ่งที่ไม่เคยมีในโลกมาก่อน

like plutonium

เช่น พลูโตเนียม

and plastics.

และ พลาสติก

In fact, the geologists known as stratigraphers

แท้จริงแล้ว นักธรณีวิทยาที่เรียนรู้ ลำดับชั้นของหิน

who determine the geologic timescale,

ได้กำหนดมาตราธรณีกาล

have proposed a start date for the Anthropocene around 1950.

โดยประมาณการวันเริ่มต้นแอนโทรโพซีน ราวปีค.ศ.1950

That's when people started blowing up nuclear bombs all around the world

นั่นคือเมื่อมนุษย์เริ่มใช้ระเบิดนิวเคลีย์ ไปทั่วโลก

and scattering novel elements to the winds.

และทำให้สสารที่ไม่เคยมีมาก่อน กระจายไปกับกระแสลม

Those elements will last in the rock record,

สสารพวกนั้นจะคงอยู่ในบันทึกของชั้นหิน

even in our bones and teeth for millions of years.

หรือแม้กระทั่ง กระดูกและฟันของเรา นับล้านปีต่อจากนี้

And in just 50 years, we've made enough plastic,

และเพียงแค่ 50 ปี เราผลิตพลาสติกมากมาย

at least 8 billion metric tons,

อย่างน้อย 8 พันล้านเมตริกตัน

to cover the whole world in a thin film.

มากพอที่จะคลุมทั้งโลกของเราด้วยแผ่นบาง ๆ

People's farming, fishing, and forestry will also show up as a before and after

การเกษตร การประมง และการป่าไม้ ก็จะได้เห็น ความแตกต่างระหว่าง ก่อน และ หลังทำ

in any such strata

ที่ปรากฎในชั้นหินต่าง ๆ

because it's those kinds of activities

มันเป็นเพราะการกระทำเหล่านั้น

that are causing unique species of plants and animals to die out.

ที่ส่งผลให้สัตว์และพืชสายพันธุ์หายาก ให้สูญพันธุ์ไป

This die-off started perhaps more than 40,000 years ago

การสูญเสียเหล่านี้บางทีอาจจะเริ่ม มาตั้งแต่ 40,000 ปีที่แล้ว

as humanity spread out of Africa

ตอนที่มนุษย์กระจายไปทั่วแอฟริกา

and reached places like Australia,

และไปถึงที่ต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลีย

kicking off the disappearance of big, likable, and edible animals.

เป็นต้นเหตุของการหายไปของสัตว์ขนาดใหญ่ สัตว์น่ารัก และสัตว์ที่เป็นอาหาร

This is true of Europe and Asia, think woolly mammoth,

นี่คือเรื่องจริงในยุโรปและเอเชีย ตัวอย่างเช่น แมมมอธขนดก

as well as North and South America, too.

และในอเมริกาเหนือและใต้เช่นกัน

For a species that has only roamed

สำหรับสปีชีย์ที่เพิ่งท่องอยู่ใน

the planet for a few hundred thousand years,

ดาวเคราะห์แห่งนี้แค่ไม่กี่แสนปี

Homo sapiens has had a big impact on the future fossil record.

โฮโมเซเปียนได้มีส่วนทิ้งร่องรอยยิ่งใหญ่ ไว้ในซากดึกดำบรรพ์ของอนาคต

That also means that even if people were to disappear tomorrow,

นั่นหมายถึงว่า แม้พรุ่งนี้มนุษย์จู่ ๆ เกิดหายไป

evolution would be driven by our choices to date.

วิวัฒนาการก็ยังจะดำเนินต่อไป ต่อจากสิ่งที่เราทำไว้

We're making a new homogenous world of certain favored plants and animals,

เราได้สร้างโลกใหม่ที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ โลกที่ต้นไม้และสัตว์บางชนิดนั้นได้เปรียบ

like corn and rats.

เช่น ข้าวโพด และหนู

But it's a world that's not as resilient as the one it replaces.

แต่มันเป็นโลกที่ไม่อาจฟื้นคืนสภาพ ได้เท่ากับโลกเก่าที่ถูกแทนที่

As the fossil record shows,

เห็นได้จากหลักฐานที่มีอยู่ในฟอสซิล

it's a diversity of plants and animals

มันคือความหลากหลายของพืชและสัตว์

that allows unique pairings of flora and fauna

ที่ช่วยให้มีการจับคู่พันธุ์พืชและสัตว์ที่หลากหลาย

to respond to environmental challenges, and even thrive after an apocalypse.

เป็นการตอบรับกับความท้าทายของสิ่งแวดล้อม หรือกระทั่งการเติบโตหลังจากโลกหายนะ

That goes for people, too.

และเหมือนกับมนุษย์เช่นกัน

If the microscopic plants of the ocean suffer

ถ้าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในทะเลยังต้องตายไป

as a result of too much carbon dioxide, say,

จากผลของคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากเกินไป อย่างนั้น

we'll lose the source of as much as half of the oxygen we need to breathe.

เราก็จะสูญเสียถึงครึ่งหนึ่งของ แหล่งออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจ

Then there's the smudge in future rocks.

นั่นคงเป็นรอยด่างบนหินในวันข้างหน้า

People's penchant for burning coal, oil, and natural gas

การเผาผลาญผลังงานจากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ

has spread tiny bits of soot all over the planet.

ได้แพร่เขม่าเล็ก ๆ ไปทั่วทั้งดาวเคราะห์

That smudge corresponds with a meteoric rise

รอยด่างสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของ

in the amount of carbon dioxide in the air,

ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ

now beyond 400 parts per million,

ที่ตอนนี้มีปริมาณมากถึง 400 ส่วนต่อล้าน

or higher than any other Homo sapiens has ever breathed.

หรือสูงกว่าที่โฮโมเซียนเปียนใหน ๆ ที่เคยหายใจ

Similar soot can still be found in ancient rocks

เขม่าที่คล้ายกันสามารถเจอได้ในหินโบราณ

from volcanic fires of 66 million years ago,

จากไฟภูเขาไฟเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว

a record of the cataclysm touched off by an asteroid

จากบันทึกการพุ่งชนอย่างรุนแรง ของอุกกาบาต

at the end of the late Cretaceous epoch.

ที่ตอนปลายของยุคครีเทเซียส

So odds are our soot will still be here 66 million years from now,

ดังนั้นโอกาสที่ร่องรอยของเราจะยังคงอยู่ 66 ล้านปีต่อจากนี้

easy enough to find for any aliens who care to look.

ง่ายพอที่จะให้มนุษย์ต่างดาวจากที่ไหน ๆ ที่สนใจพอจะค้นหา

Of course, there's an important difference between us and an asteroid.

แต่แน่นอนว่า มันมีความแตกต่างที่สำคัญ ระหว่างเราและอุกาบาต

A space rock has no choice but to follow gravity.

ก้อนหินในอวกาศไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ นอกจากลอยไปตามแรงดึงดูด

We can choose to do differently.

แต่เราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่แตกต่าง

And if we do, there might still be some kind of human civilization thousands

และถ้าเราทำให้แตกต่าง อารยธรรมของมนุษย์น่าจะคงอยู่ไปอีกหลายพัน

or even millions of years from now.

หรือแม้แต่หลายล้านปีต่อจากนี้

Not a bad record to hope for.

ไม่เลวเลยที่จะหวังให้บันทึกไว้แบบนี้