Ugly History: The U.S. Syphilis Experiment - Susan M. Reverby

Translator: Thitirat Kongkeo Reviewer: Thitiporn Ratanapojnard

In the 1930s, the United States was ravaged by syphilis.

ในยุค 1930 สหรัฐอเมริกา ถูกรุกรานอย่างหนักด้วยโรคซิฟิลิส

This sexually transmitted infection afflicted nearly 1 in 10 Americans,

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นี้ เกิดขึ้นในเกือบ 1 ใน 10 ของชาวอเมริกัน

producing painful sores and rashes that persisted for roughly two years.

ทำให้เกิดแผลเจ็บปวด และผื่น เรื้อรังประมาณ 2 ปี

After these initial symptoms, late-stage syphilis was known to cause organ damage,

หลังจากอาการเบื้องต้นพวกนี้ ระยะสุดท้าย ของซิฟิลิสจะทำให้อวัยวะถูกทำลาย

heart and brain disorders, and even blindness.

ความผิดปกติทางหัวใจและสมอง รวมไปถึงอาการตาบอด

It was incredibly difficult to slow the disease’s spread.

มันยากอย่างเหลือเชื่อ ที่จะชะลอการแพร่กระจายของโรค

Experts cautioned against unprotected sex,

ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนเกี่ยวกับ การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน

but the infection could also be passed during childbirth.

แต่การติดเชื้อยังสามารถเกิดขึ้น ในระหว่างการคลอดลูก

Worse still, existing treatments like mercury and bismuth

แย่ไปกว่านั้น การรักษาด้วยปรอท และบิสมัทที่มีในสมัยนั้น

were considered unreliable at best and potentially harmful at worst.

อย่างดีก็เรียกว่าไม่น่าไว้ใจ อย่างร้ายก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้

Today these heavy metals are classified as toxic,

ทุกวันนี้โลหะหนักพวกนี้ถือเป็นสารพิษ

but at the time, doctors were still uncovering their dangerous side effects.

แต่ ณ เวลานั้น แพทย์ยังคงปกปิด ผลข้างเคียงที่อันตรายของพวกมัน

Amidst the uncertainty, health care professionals had two key questions.

ท่ามกลางความไม่แน่นอน บุคลากรทางการแพทย์มีคำถามสำคัญ 2 ข้อ

Did late-stage syphilis warrant the risks of existing treatments?

ซิฟิลิสระยะสุดท้ายคุ้มค่ากับ ความเสี่ยงของการรักษาที่มีอยู่หรือไม่

And, did the infected individual’s race change how the disease progressed?

และเชื้อชาติของผู้ที่ติดเชื้อ มีผลต่อการดำเนินโรคหรือไม่

Many physicians were convinced syphilis affected

แพทย์จำนวนมากเชื่อว่าโรคซิฟิลิสจะส่งผล

the neurological systems of white patients

ต่อระบบประสาทของผู้ป่วยผิวขาว

and the cardiovascular systems of Black patients.

และต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดของผู้ป่วยผิวสี

There was little evidence for this theory,

หลักฐานของทฤษฏีนี้มีอยู่น้อยมาก

but the U.S. Public Health Service was determined to investigate further.

แต่กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐ มุ่งจะทำการสืบค้นต่อไป

In 1932 they launched a massive experiment in Tuskegee, Alabama.

ในปี 1932 พวกเขาเริ่มทำการทดลองใหญ่ ที่เมืองทัสกีจี รัฐอลาบามา

The town had already possessed a small hospital,

ที่เมืองมีโรงพยาบาลเล็ก ๆ อยู่แล้ว

and the area was home to a large population of potential participants.

และเป็นที่อยู่ของประชากรกลุ่มใหญ่ ที่อาจจะเป็นผู้ร่วมงานวิจัย

The PHS collaborated with local doctors and nurses

กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับ หมอและพยาบาลท้องถิ่น

to recruit roughly 400 Black men presumed to have noncontagious late-stage syphilis,

เกณฑ์ผู้ชายผิวสีเกือบ 400 คนที่คาดว่า เป็นโรคซิฟิลิสระยะสุดท้ายที่ไม่ติดต่อ

as well as 200 non-syphilitic Black men for their control group.

รวมทั้งคนผิวสีที่ไม่เป็นซิฟิลิสอีก 200 คน เพื่อเป็นกลุ่มควบคุม

But their recruitment plan centered on a lie.

แต่แผนการเกณฑ์คนของพวกเขา ตั้งอยู่บนการโกหก

While the researchers planned to observe how syphilis

ในขณะที่นักวิจัยวางแผน ที่จะสังเกตว่าซิฟิลิส

would progress with minimal treatment,

จะเป็นอย่างไรถ้ารักษาน้อยที่สุด

participants were told they would receive free drugs and care for their condition.

ผู้ป่วยได้รับการบอกว่าพวกเขา จะได้รับยาและการรักษาโดยไม่คิดเงิน

At first, researchers gave the men existing treatments,

ในตอนแรก นักวิจัยให้การรักษาแบบเก่ากับผู้ป่วย

but these were soon replaced with placebos.

แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นการรักษาแบบปลอม ๆ

Under the false pretense of providing a special remedy,

ภายใต้การเสแสร้งให้การรักษาพิเศษ

researchers performed painful and invasive spinal taps

นักวิจัยได้ทำการเจาะนํ้าไขสันหลัง ซึ่งเป็นหัตถการที่เจ็บปวดและรุกล้ำ

to investigate the disease’s neurological consequences.

เพื่อที่จะตรวจสอบผลกระทบ ต่อระบบประสาทของโรค

When patients died, the PHS would swoop in to study the body

เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต กระทรวงสุขภาพฯ จะรีบรุดเข้ามาศึกษาศพ

by funding funerals in exchange for autopsies.

โดยให้เงินจัดงานศพ แลกกับการชันสูตรศพ

In their published studies, they listed the men as volunteers

ในงานที่ตีพิมพ์ พวกเขาระบุว่า ผู้ป่วยเป็นอาสาสมัคร

to obscure the circumstances under which they’d been recruited.

เพื่อปิดบังเหตุการณ์ที่ว่า พวกเขาถูกเกณฑ์มา

Outside Alabama, syphilis treatment was advancing.

ภายนอกรัฐอลาบามา การรักษาซิฟิลิสกำลังก้าวหน้า

A decade after the study began,

หนึ่งทศวรรษหลังจากการศึกษาเริ่มขึ้น

clinical trials confirmed that penicillin effectively cured the disease

งานวิจัยยืนยันว่าเพนิซิลลิน สามารถรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

in its early stages.

ในระยะแรกของโรค

But in Tuskegee, researchers were determined to keep pursuing

แต่ในเมืองทัสกีจี นักวิจัยตัดสินใจที่จะ

what they considered vital research.

ทำสิ่งที่พวกเขาถือเป็น งานวิจัยสำคัญต่อไป

They had yet to confirm their theories about racial difference,

พวกเขายังไม่ได้ข้อยืนยันทฤษฎี เกี่ยวกับความแตกต่างทางเชื้อชาติ

and they believed they would never have another opportunity

และพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสที่จะ

to observe the long-term effects of untreated syphilis.

ศึกษาผลกระทบระยะยาว ของซิฟิลิสที่ไม่ได้รับการรักษานี้อีก

The study’s leadership decided to withhold knowledge of new treatments

หัวหน้างานวิจัยตัดสินใจที่จะปิดบัง ความรู้เรื่องการรักษาแบบใหม่

from their subjects.

จากคนไข้ของพวกเขา

During World War II, researchers convinced the local draft board

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิจัย เกลี้ยกล่อมคณะกรรมการเกณฑ์ทหารท้องถิ่น

to exempt men from their study,

ให้ยกเว้นผู้ชายในงานวิจัยพวกเขา

preventing them from enlisting and potentially accessing penicillin.

ป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกเกณฑ์เป็นทหาร และอาจเข้าถึงเพนนิซิลลิน

The study even continued through the 1950s

งานวิจัยยังคงทำต่อเนื่องจนถึงทศวรรษ 1950

when penicillin was shown to help manage late-stage syphilis.

ซึ่งเพนนิซิลลินแสดงให้เห็นว่า สามารถรักษาซิฟิลิสระยะสุดท้ายได้

By today’s bioethical standards,

ตามมาตรฐานทางชีวจริยธรรมในปัจจุบันแล้ว

withholding treatment in a research study without a patient’s informed consent

การไม่รักษา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย

เป็นเรื่องน่าชิงชังทางศีลธรรม

is morally abhorrent.

But for a large part of the 20th century, this practice was not uncommon.

แต่สำหรับส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 20 การทำแบบนี้พบได้ไม่ยาก

In the 1940s, US led studies in Guatemala infected

ในทศวรรษ 1940 สหรัฐฯทำการศึกษา ในกัวเตมาลาที่ทำให้

numerous prisoners, sex workers, soldiers, and mental health patients

นักโทษ ผู้ให้บริการทางเพศ ทหาร และผู้ป่วยทางจิตจำนวนมาก

with sexually transmitted infections to study potential treatments.

ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อศึกษาหาวิธีรักษาที่อาจได้ผล

And other studies throughout the 50s and 60s

และการศึกษาอื่น ๆ ในช่วงทศวรรษที่ 50 และ 60

saw doctors secretly infecting patients with viral hepatitis or even cancer cells.

แพทย์ได้แอบทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อ ด้วยไวรัสตับอักเสบ หรือแม้แต่เซลล์มะเร็ง

Eventually, researchers began objecting to these unjust experiments.

ในที่สุด นักวิจัยก็เริ่มคัดค้าน การทดลองที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้

In the late 1960s, an STI contact tracer named Peter Buxtun

ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ผู้สอบสวนผู้ติดเชื้อ ทางเพศสัมพันธ์ชื่อ ปีเตอร์ บักซ์ทัน

convinced the PHS to consider ending the study.

โน้มน้าวให้กระทรวงสาธารณสุข ยุติการศึกษานี้

But after leadership decided against it, Buxtun sent his concerns to the press.

แต่หลังจากที่ผู้บริหารไม่เห็นด้วย บักซ์ทันก็ส่งข้อกังวลของเขาไปยังสื่อมวลชน

In July of 1972, an exposé of the Tuskegee study made headlines across the country.

ในเดือนกรกฎาคมปี 1972 การเปิดเผยการทดลอง เมืองทัสกีจีกลายเป็นพาดหัวข่าวไปทั่วประเทศ

Following public outcry, a federal investigation, and a lawsuit,

ตามมาด้วยเสียงเรียกร้องจากสังคม การสืบสวนของรัฐบาลกลาง และคดีความ

the study was finally shut down in 1972— 40 years after it began

การศึกษาถูกยุติในที่สุดเมื่อปี 1972 40 ปีหลังจากมันเริ่มขึ้น

and 30 after a treatment for syphilis had been found.

และ 30 ปีหลังการรักษาซิฟิลิส ถูกค้นพบ

No evidence of any racial difference was discovered.

ไม่มีหลักฐานของ ความแตกต่างทางเชื้อชาติถูกค้นพบ

When the study ended, only 74 of the original 600 men were alive.

เมื่อการศึกษายุติลง เหลือแค่ชาย 74 คน จากจำนวนเริ่มต้น 600 คน ที่ยังมีชีวิต

40 of their wives and 19 of their children had contracted syphilis,

ภรรยา 40 คนและลูก 19 คน ของพวกเขาติดเชื้อซิฟิลิส

presumably from their husbands and fathers.

คาดว่าจากสามีและพ่อของพวกเขา

In the wake of this tragedy, and concerns about similar experiments,

จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ และความกังวล เกี่ยวกับการทดลองที่คล้ายคลึงกัน

Congress passed new regulations for ethical research and informed consent.

รัฐสภาจึงออกข้อบังคับจริยธรรมการวิจัย

และการได้รับความยินยอมจากผู้เข้าร่วมวิจัย

But systemic racism continues to permeate medical care and research

แต่การเหยียดเชื้อชาติยังคง แทรกซึมอยู่ในการรักษาพยาบาลและการวิจัย

throughout the US.

ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา

To truly address these issues,

เพื่อแก้ไขปัญหาพวกนี้อย่างจริงจัง

the need for structural change, better access to care,

ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การเข้าถึงการดูแลที่ดีขึ้น

and transparency in research remains urgent.

และความโปร่งใสในการทำวิจัย จึงเป็นสื่งที่เร่งด่วนอย่างยิ่ง