What caused the French Revolution? - Tom Mullaney

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Vera Chicharito

What rights do people have, and where do they come from?

คนมีสิทธิอะไรบ้าง และพวกมันมาจากไหน

Who gets to make decisions for others and on what authority?

ใครกันที่เป็นผู้กำหนดตัดสินใจให้คนอื่น ๆ และในบริบทอำนาจใด

And how can we organize society to meet people's needs?

และเราจะจัดระเบียบสังคมได้อย่างไร ให้เข้ากับความต้องการของคนในสังคม

These questions challenged an entire nation

คำถามเหล่านี้สร้างความท้าทายระดับประเทศ

during the upheaval of the French Revolution.

ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดปัญหา ของการปฏิวัติฝรั่งเศส

By the end of the 18th century,

ช่วงปลายศตวรรษที่ 18

Europe had undergone a profound intellectual and cultural shift

ยุโรปได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทางปัญญาและทางวัฒนธรรม

known as the Enlightenment.

ที่รู้จักกันในชื่อ ยุคเรืองปัญญา

Philosophers and artists promoted reason and human freedom

นักปรัชญาและศิลปินเชิดชูเหตุผล และอิสรภาพของมนุษยชาติ

over tradition and religion.

เหนือกว่าขนบธรรมเนียมและศาสนา

The rise of a middle class and printed materials

การลุกฮือขึ้นมาของชนชั้นกลาง และสื่อสิ่งพิมพ์

encouraged political awareness,

ส่งเสริมให้เกิดความตระหนักถึงการเมือง

and the American Revolution had turned a former English colony

และการปฏิวัติอเมริกาได้เปลี่ยน อาณานิคมเดิมของอังกฤษ

into an independent republic.

ให้กลายเป็นสาธารณรัฐอิสระ

Yet France, one of the largest and richest countries in Europe

แต่ถึงกระนั้น ฝรั่งเศส หนึ่งในประเทศ ที่ใหญ่และมั่งคั่งที่สุดในยุโรป

was still governed by an ancient regime of three rigid social classes

ยังคงถูกปกครองโดยแนวทางปฏิบัติดั้งเดิม ที่ประกอบด้วยสามชนชั้นทางสังคม

called Estates.

เรียกว่า ฐานันดร

The monarch King Louis XVI based his authority on divine right

ราชวงศ์อย่างพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหก มีฐานอำนาจตามสิทธิสมมุติเทพ

and granted special privileges to the First and Second Estates,

และประทานสิทธิพิเศษให้กับ ผู้ที่มีฐานันดรขั้นที่หนึ่งและสอง

the Catholic clergy, and the nobles.

ได้แก่ นักบวชคาธอลิก และขุนนาง

The Third Estate, middle class merchants and craftsmen,

ระดับฐานันดรที่สาม คือพ่อค้าชนชั้นกลาง และช่างฝีมือ

as well as over 20 million peasants, had far less power

เช่นเดียวกันกับประชาชนกว่า 20 ล้านคน ที่มีอำนาจน้อยกว่า

and they were the only ones who paid taxes,

และพวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มเดียว ที่ต้องจ่ายภาษี

not just to the king, but to the other Estates as well.

ไม่ใช่แค่ให้กับกษัตริย์เท่านั้น แต่ยังต้องให้กับผู้ที่มีฐานันดรอื่น ๆ อีกด้วย

In bad harvest years,

ในปีที่การเก็บเกี่ยวไม่สู้ดี

taxation could leave peasants with almost nothing

การเก็บภาษีอาจทำให้ประชาชน สิ้นเนื้อประดาตัว

while the king and nobles lived lavishly on their extracted wealth.

ในขณะที่กษัตริย์และชนชั้นสูงสามารถใช้จ่าย อย่างฟุ่มเฟือยจากความร่ำรวยของพวกเขา

But as France sank into debt due to its support of the American Revolution

แต่ฝรั่งเศสได้จมอยู่ในกองหนี้เนื่องจาก พวกเขาสนับสนุนการปฏิวัติอเมริกา

and its long-running war with England,

และการทำสงครามอย่างยาวนานกับอังกฤษ

change was needed.

จำต้องมีการเปลี่ยนแปลง

King Louis appointed finance minister Jacques Necker,

พระเจ้าหลุยส์แต่งตั้งรัฐมนตรีคลัง ฌาค เนคแกร์

who pushed for tax reforms

ผู้ส่งเสริมให้มีการปฏิรูปการเก็บภาษี

and won public support by openly publishing the government's finances.

และได้รับการสนับสนุนจากสังคมให้มี การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของรัฐบาล

But the king's advisors strongly opposed these initiatives.

แต่บรรดาที่ปรึกษาของกษัตริย์คัดค้าน แนวทางใหม่นี้อย่างสุดตัว

Desperate for a solution, the king called a meeting of the Estates-General,

พระเจ้าหลุยส์ทรงประสงค์ที่จะหาข้อยุติ จึงเรียกประชุมสภาฐานันดร

an assembly of representatives from the Three Estates,

ซึ่งคือองค์ประชุมของตัวแทน จากทั้งสามฐานันดร

for the first time in 175 years.

เป็นครั้งแรกในรอบ 175 ปี

Although the Third Estate represented 98% of the French population,

แม้ว่าระดับฐานันดรที่สามจะประกอบด้วย ร้อยละ 98 ของประชากรทั้งหมด

its vote was equal to each of the other Estates.

การลงคะแนนของพวกเขา มีค่าเท่ากับฐานันดรอื่นแต่ละคน

And unsurprisingly, both of the upper classes favored keeping their privileges.

และไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งสองฐานันดร ที่สูงศักดิ์กว่า อยากที่จะคงสิทธิพิเศษเอาไว้

Realizing they couldn't get fair representation,

เมื่อตระหนักว่าพวกเขา ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบตัวแทน

the Third Estate broke off,

ระดับฐานันดรที่สามก็ประกาศ

declared themselves the National Assembly,

แต่งตั้งพวกตนขึ้นเป็นสภาผู้แทนราษฎร

and pledged to draft a new constitution with or without the other Estates.

และให้คำมั่นว่าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีหรือไม่มีฐานันดรอื่น ๆ เข้าร่วมก็ได้

King Louis ordered the First and Second Estates

พระเจ้าหลุยส์ทรงมีรับสั่งให้ฐานันดร ที่หนึ่งและสอง

to meet with the National Assembly,

เข้าประชุมกับสภาผู้แทนราษฎร

but he also dismissed Necker, his popular finance minister.

แต่ยังปลดเนคแกร์ รัฐมนตรีคลัง ผู้โด่งดังของพระองค์ด้วย

In response, thousands of outraged Parisians

ผลลัพธ์ก็คือ ชาวปารีสนับพันที่โกรธแค้น

joined with sympathetic soldiers to storm the Bastille prison,

ร่วมด้วยทหารที่เห็นพ้องกัน ก็รุดไปยังคุกบัสตีย์

a symbol of royal power and a large storehouse of weapons.

สัญลักษณ์ของอำนาจราชวงศ์ และคลังอาวุธขนาดใหญ่

The Revolution had begun.

การปฏิวัติได้เริ่มขึ้นแล้ว

As rebellion spread throughout the country,

เมื่อการก่อกบฎได้แผ่ขยายออกไป ทั่วทั้งประเทศ

the feudal system was abolished.

ระบบศักดินาก็ถูกทำลาย

The Assembly's Declaration of the Rights of Man and Citizen

คำประกาศของรัฐสภา เกี่ยวกับสิทธิของมนุษย์และพลเมือง

proclaimed a radical idea for the time --

สถาปนาแนวคิดอย่างสุดโต่ง ในเวลานั้น

that individual rights and freedoms were fundamental to human nature

ว่าสิทธิและเสรีภาพของแต่ละบุคคลนั้น เป็นพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์

and government existed only to protect them.

และรัฐบาลนั้นดำรงอยู่เพียงเพื่อปกป้องมัน

Their privileges gone, many nobles fled abroad,

เมื่อสิทธิพิเศษของพวกเขาหมดไป เหล่าชนชั้นสูงมากมายก็หนีไปต่างประเทศ

begging foreign rulers to invade France and restore order.

ขอร้องให้เหล่าผู้ปกครองต่างแดน โจมตีฝรั่งเศสและฟื้นฟูกฎเกณฑ์เก่า

And while Louis remained as the figurehead of the constitutional monarchy,

และในขณะที่พระเจ้าหลุยส์ ยังทรงดำรงตำแหน่งกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ

he feared for his future.

พระองค์ก็ทรงตระหนักถึงอนาคตที่น่ากลัว

In 1791, he tried to flee the country but was caught.

ในปี ค.ศ. 1791 ทรงพยายามหนี ออกนอกประเทศ แต่ถูกจับได้

The attempted escape shattered people's faith in the king.

ความพยายามในการหลบหนี ทำให้ศรัทธา ของประชาชนในตัวพระเจ้าหลุยส์สลายสิ้น

The royal family was arrested and the king charged with treason.

ราชวงศานุวงศ์ถูกจับ และพระเจ้าหลุยส์ก็ถูกตั้งข้อหากบฎ

After a trial,

ภายหลังการพิจารณาคดี

the once-revered king was publicly beheaded,

กษัตริย์ผู้ทรงเคยเป็นที่เคารพศรัทธา ก็ถูกตัดพระเศียรท่ามกลางสาธารณชน

signaling the end of one thousand years of monarchy

ซึ่งเป็นจุดบ่งบอกถึงกาลอวสาน ของราชวงศ์ที่มีอายุยาวนานหนึ่งพันปี

and finalizing the September 21st declaration of the first French republic,

และเป็นจบลงที่การก่อตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นครั้งแรก ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน

governed by the motto "liberté, égalité, fraternité."

โดยมีคำขวัญที่ว่า "เสรีภาพ (liberté) เสมอภาค (égalité) ภราดรภาพ (fraternité)"

Nine months later,

เก้าเดือนต่อมา

Queen Marie Antoinette,

พระนางมารี อ็องตัวแน็ต

a foreigner long-mocked as "Madame Déficit"

ที่ได้รับฉายาจากชาวต่างชาติว่า "มาดามหนี้ท่วมหัว (Madame Déficit)"

for her extravagant reputation,

จากพฤติกรรมฟุ้งเฟ้อของพระองค์

was executed as well.

ก็ถูกตัดพระเศียรเช่นกัน

But the Revolution would not end there.

แต่การปฏิวัติไม่ได้จบลงที่ตรงนั้น

Some leaders, not content with just changing the government,

ผู้นำบางคน ไม่หยุดอยู่แค่ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

แต่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมฝรั่งเศส

sought to completely transform French society --

its religion, its street names,

ศาสนา

และชื่อของท้องถนนต่าง ๆ

even its calendar.

แม้กระทั่งปฏิทิน

As multiple factions formed,

ในขณะที่ภาคส่วนต่าง ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น

the extremist Jacobins lead by Maximilien Robespierre

กลุ่มฌากอแบ็งผู้มีแนวคิดแบบสุดโต่ง ที่นำโดย มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์

launched a Reign of Terror

ได้ทำให้เกิด สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว

to suppress the slightest dissent,

ที่มีการสังหารฝ่ายตรงข้ามกว่า 20,000 คน

executing over 20,000 people

before the Jacobin's own downfall.

ก่อนที่กลุ่มฌากอแบ็งเองจะมาถึงจุดเสื่อม

Meanwhile, France found itself at war with neighboring monarchs

ในขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสก็ต้องทำศึก กับราชวงศ์ของประเทศเพื่อนบ้าน

seeking to strangle the Revolution before it spread.

ที่ต้องการหยุดยั้งการปฏิวัติ ก่อนที่มันจะขยายขอบเขตมากไปกว่านี้

Amidst the chaos, a general named Napoleon Bonaparte took charge,

ท่ามกลางความโกลาหล นายพลที่มีชื่อว่า นโปเลียน โบนาปาร์ต ก็เข้ามากุมอำนาจ

becoming Emperor as he claimed to defend the Revolution's democratic values.

ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ปฏิญาณว่าจะปกป้อง คุณค่าของประชาธิปไตยที่ได้จากการปฏิวัติ

All in all, the Revolution saw three constitutions

โดยสรุป การปฏิวัตินี้ ก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญสามฉบับ

and five governments within ten years,

และห้ารัฐบาลภายในสิบปี

followed by decades alternating between monarchy and revolt

ตามด้วยหลายทศวรรษแห่งการเปลี่ยนแปลง ราชวงศ์และการปฏิวัติ

before the next Republic formed in 1871.

ก่อนที่สาธารณรัฐใหม่จะเกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1871

And while we celebrate the French Revolution's ideals,

และในขณะที่เราเฉลิมฉลองอุดมคติของ การปฏิวัติฝรั่งเศส

we still struggle with many of the same basic questions

เราก็ยังคงต่อสู้กับคำถามพื้นฐานมากมาย อย่างเดียวกันนี้

ที่เกิดขึ้นมานานกว่าสองศตวรรษ

raised over two centuries ago.