How to Make Learning as Addictive as Social Media | Duolingo's Luis Von Ahn | TED

Translator: Annicha Hanwilai Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

So, I'm from Guatemala.

ผมมาจากกัวเตมาลาครับ

This is a public service announcement,

ผมขอแถลงอย่างเป็นทางการว่า

that is where Guatemala is.

ตรงนี้คือกัวเตมาลา

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Also, that is not where they keep the prisoners.

ไม่ใช่ที่ที่นักโทษอยู่นะ

That is called Guantanamo.

อันนั้นเรียกว่า กวานตานาโม

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Not the same place.

คนละที่กัน

So Guatemala's right below Mexico.

กัวเตมาลาอยู่ใต้เม็กซิโก

And for the Americans in the audience,

และท่านผู้ฟังชาวอเมริกันครับ

and let this sink in, because it really applies in most ways,

จำให้ดี ๆ นะครับ เพราะมันเอาไปใช้ได้จริง

for the Americans in the audience,

ท่านผู้ฟังชาวอเมริกันครับ

you can think of it as Mexico's Mexico.

คิดซะว่ามันเป็น เม็กซิโกแห่งประเทศเม็กซิโก

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Just like the US doesn't want illegal immigration from Mexico,

เหมือนกับที่สหรัฐ ฯ ไม่ต้องการ การย้ายถิ่นผิดกฎหมายจากเม็กซิโก

Mexico doesn't want illegal immigration from Guatemala.

เม็กซิโกก็ไม่ต้องการ การย้ายถิ่นผิดกฎหมายจากกัวเตมาลา

It's a smaller country.

มันเป็นประเทศที่เล็กกว่า

It's a poor country.

เป็นประเทศที่ยากจน

And well, what can I tell you,

และผมจะบอกอะไรให้นะ

it has much better Mexican food.

อาหารเม็กซิกันที่นั่นเด็ดกว่า

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Guatemala is a very poor country.

กัวเตมาลาเป็นประเทศที่ยากจนมาก

And a lot of people talk about education

และหลายคนพูดถึงการศึกษาว่า

as something that brings equality to different social classes.

เป็นสิ่งที่นำความเท่าเทียม มาสู่ชนชั้นทางสังคมที่ต่างกัน

But I always saw it as the opposite, as something that brings inequality.

แต่ผมกลับเห็นตรงข้ามมาตลอด ว่ามันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ

Because what happens in practice

เพราะในทางปฏิบัตินั้น

is that people who have a lot of money can buy themselves a really good education

คนมีฐานะนั้นสามารถ ซื้อการศึกษาดี ๆ ได้

and therefore continue having a lot of money.

และทำให้พวกเขามีเงินเยอะสืบต่อไป

Whereas people who don't have very much money

ส่วนคนที่ไม่ค่อยมีเงิน

barely learn how to read and write

ไม่ค่อยได้เรียนการเขียน การอ่าน

and therefore never make a lot of money.

ก็หาเงินเยอะ ๆ ไม่ได้สักที

And this is especially true in poor countries.

และนี่ยิ่งจริงเป็นพิเศษ ในประเทศที่ยากจน

Now, I was fortunate that I received a rich person's education

ผมโชคดีที่ได้รับการศึกษา อย่างที่คนรวยได้รับ

even though I didn't grow up rich.

ถึงแม้ผมจะไม่ได้โตมาอย่างร่ำรวยก็ตาม

And it’s because I’m an only child.

เพราะผมเป็นลูกคนเดียว

And my mother, who was a single mother,

และแม่ของผม ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว

spent all of her resources on my education.

ได้ทุ่มหมดตัวส่งผมเรียน

And this allowed me to come to college to the US

ทำให้ผมได้มาเรียนต่อ มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

and eventually get a PhD in computer science.

จนในที่สุดผมก็จบปริญญาเอก สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์

Now because of all of this

เป็นเพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ว่ามานี้

about 10 years ago,

ตั้งแต่ประมาณ 10 ปีมาแล้ว

I decided I wanted to do something

ได้ทำให้ผมตัดสินใจทำบางอย่าง

that would give equal access to education to everyone.

ที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึง การศึกษาได้อย่างเท่าเทียม

Oh, by the way, this is what I want to talk to you about today,

อ้อ จะว่าไป นี่คือเรื่องที่ผมจะพูดในวันนี้

giving equal access to education to everyone.

การทำให้ทุกคนเข้าถึง การศึกษาได้อย่างเท่าเทียม

At the time, I was a professor of computer science

ตอนนั้น ผมเป็นศาสตราจารย์ ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์

at Carnegie Mellon University,

ที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน

and I decided to work on this with my PhD student, Severin.

และผมตัดสินใจที่ทำเรื่องนี้กับ เซเฟริน นักศึกษาปริญญาเอกของผม

The way my brain works,

สิ่งที่ผมคิดคือ

all of education is just too general of a problem.

การศึกษาทุกแบบนั้น เป็นโจทย์ที่กว้างไป

So I decided, let's start by teaching one thing.

ผมเลยตัดสินใจเริ่มด้วย การสอนแค่สิ่งเดียว

And then I started thinking, OK, well, what should we teach first?

แล้วก็เริ่มคิดว่า โอเค เอาละ เราควรสอนอะไรก่อน

Should we teach math?

สอนคณิตศาสตร์ดีไหม

I mean, we both love math.

คือ เราทั้งคู่รักคณิตศาสตร์

Me and my cofounder, we both love math.

ทั้งผมและผู้ร่วมก่อตั้ง รักคณิตศาสตร์

And, you know, we didn't decide to do math.

และรู้ไหมว่า พอเราไม่ได้สอนคณิตศาสตร์

Then we started thinking, well, maybe we should teach computer science.

เราก็เริ่มคิดว่าบางที เราควรสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์

But eventually, and this is maybe surprising to people in North America,

นี่อาจน่าแปลกใจหน่อยนะ สำหรับชาวอเมริกัน

eventually, we decided that the best subject to start with

ท้ายที่สุด เราก็ตัดสินใจว่า วิชาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มสอน

was teaching foreign languages.

คือวิชาภาษาต่างประเทศ

And let me tell you why.

ผมจะบอกให้ว่าทำไม

There's a number of reasons.

มีเหตุผลอยู่หลายอย่าง

One of them is that there's a huge audience for it.

หนึ่งในนั้นคือ มีกลุ่มเป้าหมายอยู่จำนวนมาก

There’s about two billion people in the world learning a foreign language,

มีคนประมาณสองพันล้านคนในโลก ที่กำลังเรียนภาษาต่างประเทศอยู่

both in school and outside of schools.

ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน

Most of these people, by the way, are learning English.

คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้ว เรียนภาษาอังกฤษ

About 80 percent of them are learning English.

ประมาณร้อยละ 80 ในนั้น กำลังเรียนภาษาอังกฤษ

In this weird map right here,

ในแผนที่แปลก ๆ นี้

all the countries in green

ประเทศสีเขียวทั้งหมด

are countries in which people are predominantly learning English.

คือประเทศที่มีคนเรียนภาษาอังกฤษกันเป็นหลัก

And the reason for that

และเหตุผลก็คือ

is because English can truly transform your life.

ภาษาอังกฤษสามารถ เปลี่ยนชีวิตได้อย่างแท้จริง

In most countries in the world,

ประเทศส่วนใหญ่ในโลก

knowledge of English can significantly increase your income potential.

การมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ จะเพิ่มโอกาสหาเงินให้สูงขึ้นอย่างชัดเจน

So this is another reason why we decided to start with foreign languages.

จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเรา ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นด้วยภาษาต่างประเทศ

And it's because you can directly make more money

เพราะคุณสามารถ สร้างรายได้มากขึ้นโดยตรง

if you learn another language, in particular English.

หากคุณเรียนรู้ภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ

And see, this is pretty different than many other subjects.

มันค่อนข้างแตกต่างจากวิชาอื่น ๆ

For example, take math.

อย่างเช่นวิชาคณิตศาสตร์

In the case of math,

ในกรณีของคณิตศาสตร์

just knowledge of math does not increase your income potential

ความรู้ทางคณิตศาสตร์ ไม่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้

because usually you have to learn math to then learn physics

เพราะเรามักจะเรียนคณิตศาสตร์ เพื่อไปเรียนฟิสิกส์

to then become a civil engineer, that's how you make more money.

แล้วไปเป็นวิศวกรโยธา นี่เป็นวิธีที่คุณจะสร้างรายได้มากขึ้น

Whereas with languages, if you are a waiter and you learn English,

ทว่าทักษะภาษานั้น หากคุณเป็นพนักงานเสิร์ฟแล้วเรียนภาษาอังกฤษ

now you can be a waiter at a hotel and make more money.

คุณก็จะเป็นพนักงานเสิร์ฟที่โรงแรมได้ และสร้างรายได้มากขึ้น

So we decided, well, let's get started by teaching languages.

เราจึงตัดสินใจได้ ว่าจะเริ่มต้น ด้วยการสอนภาษากัน

Now, we also convinced ourselves

อีกทั้งตอนนี้เราเชื่อมั่นแล้วว่า

that the only way to really reach a lot of people

วิธีเดียวที่จะเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก

was by using a mobile phone, or a smartphone in particular.

คือผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะสมาร์ตโฟน

See, building schools all over the world is simply too expensive.

การจะสร้างโรงเรียนไปทั่วโลกนั้น มันแพงแสนแพง

On the other hand,

ในทางกลับกัน

most of the world's population already has access to a smartphone,

ประชากรส่วนใหญ่ของโลก เข้าถึงสมาร์ตโฟนได้อยู่แล้ว

and the trend is that that fraction is only going to increase.

และมีแนวโน้มว่าประชากรส่วนนั้น จะยิ่งเพิ่มขึ้น

So we decided at the time

ในตอนนั้นเราจึงตัดสินใจ

that we would make a way to learn foreign languages on a mobile phone

ว่าเราจะสร้างวิธี เรียนภาษาต่างประเทศในมือถือ

that was accessible to everyone.

ที่ทุกคนเข้าถึงได้

And then we called it Duolingo.

เราเรียกมันว่า ดิวโอลิงโก

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

Now in order to truly be accessible to everyone, rich and poor,

ตอนนี้ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงมัน ได้อย่างแท้จริง ไม่ว่ารวยหรือจน

Duolingo uses a freemium model to support itself.

ดิวโอลิงโกอยู่ได้ด้วยโมเดลฟรีเมียม

What that means is that you can learn as much as you want

นั่นหมายความว่าคุณสามารถเรียนรู้ ได้มากเท่าที่คุณต้องการ

without ever having to pay.

โดยไม่ต้องจ่ายเงิน

But if you don't pay,

แต่ถ้าคุณไม่จ่ายเงิน

you may have to see an ad at the end of a lesson.

คุณอาจต้องดูโฆษณา ท้ายบทเรียน

Now, if you don't like ads,

หากคุณไม่ชอบโฆษณา

you can also pay to subscribe to turn off the ads.

คุณก็สามารถจ่าย ค่าสมาชิกเพื่อซ่อนโฆษณา

And it turns out that the vast majority of the revenue for Duolingo

ผลคือรายได้ส่วนใหญ่ ของดิวโอลิงโก

comes from people who pay to subscribe to turn off the ads.

มาจากคนที่จ่ายเงิน ค่าสมาชิกเพื่อซ่อนโฆษณา

Now, who are these people who pay to subscribe to turn off the ads?

ใครกันคือคนเหล่านั้น ที่จ่ายเงินค่าสมาชิกเพื่อซ่อนโฆษณา

Well, they're usually well-off people in rich countries like the US and Canada.

พวกเขามักจะเป็นคนฐานะดี ในประเทศร่ำรวย เช่นสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

Who are the people who don't pay to subscribe?

ใครบ้างคือคน ที่ไม่จ่ายเงินค่าสมาชิก

They usually come from poorer countries like Brazil or Vietnam or Guatemala.

พวกเขามักมาจากประเทศที่ยากจนกว่า เช่น บราซิล เวียดนาม หรือกัวเตมาลา

So what I like about this model

สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับโมเดลนี้

is that it is a small form of wealth redistribution

คือมันเป็นการกระจายทรัพย์สิน ในรูปแบบเล็ก ๆ

because we're basically getting the rich people

เพราะง่าย ๆ เลย มันคือการทำให้คนรวย

to pay for the education of everyone.

จ่ายเงินให้กับการศึกษาของทุกคน

So I like that.

ดังนั้นผมเลยชอบมัน

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

So with smartphones, we can reach a lot of people

เราเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก ได้ด้วยสมาร์ตโฟน

and we can even get the rich people to pay for the whole thing,

และยังทำให้คนรวย เป็นคนจ่ายทั้งหมดนี้ให้

which is great.

ซึ่งเยี่ยมมาก

However, if you're trying to deliver education with a smartphone,

แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณพยายามสอนใครผ่านมือถือ

you run into a humongous problem.

คุณจะเจอขวากหนามใหญ่

And it is that smartphones come equipped

มือถือนั้นมาพร้อมกับ

with some of the most addictive drugs that humanity has ever engineered.

สิ่งที่น่าเสพติดมากที่สุด ที่มนุษยชาติเคยสร้างขึ้น

TikTok, Instagram, mobile games.

ทั้งติ๊กต็อก อินสตาแกรม เกมมือถือ

See, delivering education over a smartphone

เห็นไหมว่าการสอน ผ่านสมาร์ตโฟน

is like hoping that people will eat their broccoli,

ก็เหมือนกับการหวัง ให้ใครยอมกินมะระ

but right next to it, you put the most delicious dessert ever made.

แต่ดันวางขนมหวานที่น่าอร่อยสุด ๆ ไว้ข้าง ๆ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

If you really want to deliver education to everyone,

ถ้าคุณต้องการจริง ๆ ที่จะให้การศึกษากับทุกคน

not only do you have to make it accessible,

อย่าทำแค่ให้มันเข้าถึงได้

but also you have to make it so that people want to actually learn.

แต่ต้องทำให้คนอยากจะเรียนจริง ๆ

And with Duolingo, we've been able to do this.

และเราทำได้แล้ว ผ่านดิวโอลิงโก

And at the highest level, the way we've done this

ขั้นสุดที่เราทำมา

is by making the broccoli taste like dessert.

คือทำให้มะระมีรสเหมือนของหวาน

I'll say it another way.

ให้พูดอีกอย่างคือ

What we've done is that we've used the same psychological techniques

สิ่งที่เราทำนั้น ใช้เทคนิคทางจิตวิทยา

that apps like Instagram, TikTok or mobile games use

แบบเดียวกันกับที่พวกแอป อย่างอินสตาแกรม ติ๊กต็อก หรือเกมมือถือ

to keep people engaged,

ใช้กระตุ้นการมีส่วนร่วม

but in this case, we use them to keep people engaged

แต่กรณีนี้ เราใช้เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม

but with education.

กับการศึกษา

Let me give you some examples of these techniques.

ขอยกตัวอย่างบางเทคนิคนะครับ

One of the most powerful ones is the notion of a streak.

หนึ่งในเทคนิคที่มีพลังที่สุด คือแนวคิดเรื่องตัวเลขสะสม

What a streak is, is it’s just a counter

ตัวเลขสะสมคือ ตัวนับนั่นเอง

that measures the number of days

มันวัดจำนวนวัน

that you've used the product consecutively.

ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ มาอย่างต่อเนื่อง

You just take that number,

เพียงแค่นำตัวเลขนั้น

you put it very prominently in your product

ไปใส่ไว้ใจจุดเด่น ๆ ในชิ้นงานของคุณ

and then people come back every day.

แล้วคนก็จะกลับมาใช้มันทุกวัน

And the reason people come back every day is because, well,

และเหตุผลที่กลับมา ทุกวันก็เพราะ

if they don't come back, that number resets to zero

ถ้าไม่กลับมาใช้อีก ตัวเลขนั้นจะกลับไปเป็นศูนย์

and people don't want to lose their streak.

และคนเรามักจะไม่อยาก ให้ตัวเลขสะสมหายไป

It works.

มันได้ผล

Now, on the one side,

ทีนี้ ในอีกด้านหนึ่ง

streaks have been criticized for, for example,

ตัวเลขสะสมก็มักถูกวิจารณ์ เช่น

getting teens addicted to Snapchat.

ทำให้วัยรุ่นติดสแนปแชต

But in the case of an educational app,

แต่ในกรณีของแอปเพื่อการศึกษา

streaks get people to come back to study every day.

ตัวเลขสะสมทำให้คนกลับมาเรียนทุกวัน

Now, to give you an idea of the power of streaks,

ทีนี้ เพื่อให้คุณเข้าใจ พลังของตัวเลขสะสม

in the case of Duolingo,

กรณีของดิวโอลิงโกนั้น

we have over three million daily active users

เรามีผู้ใช้ประจำ มากกว่าสามล้านคนต่อวัน

that have a streak longer than 365.

ที่มีตัวเลขสะสมมากกว่า 365

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

That means they haven't missed a day in the last year or longer.

แปลว่าพวกเขาไม่เคยหยุดเลยสักวัน ในปีที่ผ่านมา หรือนานกว่านั้น

Now, fun fact about streaks.

ทีนี้ เรื่องน่าสนุกของตัวเลขสะสม

What country do you think has the longest average streaks

คุณคิดว่าประเทศอะไร มีตัวเลขสะสมเฉลี่ยสูงที่สุด

for an educational app?

สำหรับแอปการศึกษา

It's Japan.

ญี่ปุ่นไงครับ

Of course.

แน่นอนอยู่แล้ว

Shortest-ever streaks?

แล้วน้อยที่สุดล่ะ

Latin America, baby.

ลาตินอเมริกาไงพวก

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

But we're fun, hey, we're fun.

แต่เราสนุกกันเนอะ สนุกแหละ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Another important mechanism to get people to come back to your product

อีกหนึ่งกลไกสำคัญเลย ที่ทำให้คนกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ

are notifications.

คือการแจ้งเตือน

On the one side, notifications can be really spammy and annoying,

ในมุมหนึ่ง การแจ้งเตือน บางทีก็เยอะไปและน่ารำคาญสุด ๆ

but in the case of an educational product,

แต่ในสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อการศึกษา

people actually want to be reminded to learn.

จริง ๆ แล้ว คนเราอยาก ถูกเตือนให้เรียน

In the case of Duolingo, we have a very sophisticated AI system

ที่ดิวโอลิงโก เรามีระบบ AI ที่ซับซ้อนมาก

that basically chooses when to send the notification

มันจะเลือกเวลาในการส่งแจ้งเตือน

and also what to say in each notification

และยังเลือกข้อความแจ้งเตือนแต่ละข้อความ

to maximize the probability that people come back.

เพื่อเพิ่มโอกาสสูงสุด ในการดึงคนกลับมาใช้

Now, interestingly,

ที่น่าสนใจคือ

even after all this sophistication,

แม้จะใช้วิธีซับซ้อนขนาดนี้

it turns out that the algorithm for choosing what time

กลายเป็นว่าการเลือกเวลา ที่ใช้ส่งแจ้งเตือน

to send you a notification is pretty simple.

กลับมีอัลกอริทึมที่เรียบง่าย

Do you know what is the best time to send people a notification?

รู้ไหมว่าเวลาไหนดีที่สุด ในการส่งการแจ้งเตือน

I'll tell you.

ผมจะบอกให้นะ

It's 24 hours after they used the product last.

มันคือ 24 ชั่วโมง หลังการใช้ครั้งล่าสุด

There's an easy explanation.

ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เลย

If you were free yesterday at 3pm,

ถ้าเมื่อวานคุณว่างตอนบ่ายสาม

you’re probably free today at 3pm as well.

วันนี้คุณก็คงว่างตอนบ่ายสามเหมือนเดิม

So this is what a very sophisticated millions of dollars of AI found.

และนี่คือสิ่งที่ค้นพบโดย AI อันซับซ้อนมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

It's funny.

ตลกดีครับ

Now with notifications you shouldn't be spamming.

ทีนี้ การแจ้งเตือนนั้นไม่ควรจะส่งรัว ๆ

And we're not spamming, with Duolingo,

เราไม่รัวข้อความใส่ใคร

we actually stop sending notifications after seven days of inactivity.

ดิวโอลิงโกจะหยุดส่งแจ้งเตือน เมื่อไม่ได้ใช้งานมันครบเจ็ดวัน

So if you don't use Duolingo for seven days,

ดังนั้น ถ้าคุณไม่ใช้ดิวโอลิงโก ครบเจ็ดวัน

we stop sending you notifications.

เราจะหยุดส่งแจ้งเตือนให้คุณเอง

Now, at some point it occurred to us,

มีชั่วขณะหนึ่งที่เราฉุกคิดขึ้นว่า

if we're stopping to send people notifications,

ถ้าเราหยุดส่งข้อความแจ้งเตือน

we should let them know.

เราควรแจ้งให้ทราบด้วย

So we started sending this notification to people saying,

เราจึงเริ่มส่งการแจ้งเตือนนี้ ซึ่งบอกว่า

"Hey, these reminders don't seem to be working.

“เฮ้ การแจ้งเตือนพวกนี้ ดูไม่ค่อยได้ผลนะ

We'll stop sending them for now."

ขอหยุดส่งก่อนแล้วกัน”

You know what people do when they get this notification?

รู้ไหมว่าได้รับข้อความแจ้งเตือนนี้แล้ว พวกเขาทำยังไง

They come back.

พวกเขากลับมาอีก

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Passive aggressive.

ขี้งอนจัง

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Works for my mother, works for Duolingo.

แม่ใช้ได้ผล ดิวโอลิงโกใช้ได้ผล

(Laughter and applause)

(เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือ)

These passive aggressive notifications

การแจ้งเตือนที่ขี้งอนนั้น

are really good at getting people to come back

ดึงคนกลับมาได้ดีมาก ๆ

back because they feel like our green owl mascot has given up on them,

ที่กลับมาเพราะรู้สึกเหมือน ถูกเจ้ามาสคอตนกฮูกเขียวทิ้ง

so they come back.

พวกเขาเลยกลับมา

And speaking of our green owl mascot, by the way,

พอพูดถึงมาสคอต นกฮูกเขียวแล้ว

because all our notifications come from our green owl mascot

เพราะการแจ้งเตือนทั้งหมด มาจากมาสคอตนกฮูกเขียว

and well, he's passive aggressive and also pretty pushy,

และเพราะมันขี้งอน แถมยังดื้อดึง

this has given rise to a lot of memes on the internet

จึงเกิดมีมในอินเทอร์เน็ต ขึ้นมากมาย

that make fun of the great lengths that he will go through

ที่หยอกว่ามันยอมทำขนาดไหน

to get you back to learn a language.

เพื่อให้คุณกลับมาเรียนภาษาต่อ

Here's one of my favorite ones.

นี่เป็นหนึ่งในมีมโปรดผม

This is it's a meme, it’s one of my favorite ones.

นี่เป็นมีมหนึ่ง ในมีมโปรดของผม

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Basically looks like you forgot your Spanish lessons.

เหมือนคุณจะลืมเข้า บทเรียนภาษาสเปนนะ

And then there's an intruder alert,

และจากนั้นก็มีการแจ้งเตือนผู้บุกรุก

presumably the owl broke into your house to get you to learn language.

คาดได้ว่าเจ้านกฮูกได้บุกเข้าบ้านคุณแล้ว เพื่อทำให้คุณเรียนภาษา

Now, Duolingo has entered the zeitgeist.

ตอนนี้ดิวโอลิงโกเป็น ส่วนหนึ่งของความเป็นยุคนี้แล้ว

And there's thousands of memes, there's SNL skits about it.

มีมีมหลายพันมีม และได้ออกรายการตลกชื่อ SNL

And it's because we've managed to get people to want to learn a language

เพราะเราดึงคนให้อยากเรียนภาษาได้

by using the same techniques

โดยใช้เทคนิคเดียวกัน

that mobile games and social media use to get people engaged.

กับที่เกมมือถือและโซเชียลมีเดียใช้ เพื่อให้คนติด

And this is a really important point,

จุดนี้สำคัญมาก

let me say this.

ขอพูดเลย

I don't actually believe that there's a way to make an educational app

ผมไม่ได้เชื่อหมดใจ ว่าจะมีวิธีทำให้แอปการศึกษา

be as engaging as something like TikTok or Instagram or mobile games.

น่าดึงดูดใจได้เท่าติ๊กต็อก หรืออินสตาแกรม หรือเกมมือถือ

But the good news is that --

แต่ข่าวดีคือ

And by the way, the reason I don't believe that

จะว่าไป เหตุผลที่ผมไม่เชื่อ

is because ultimately you have to teach people something.

ก็เพราะสุดท้ายแล้ว ยังไงคุณก็ต้องสอนอะไรสักอย่างอยู่ดี

And it's hard to compete with, like, cats and celebrities.

และมันยากที่จะไปแข่งกับแมว หรือดารา

But the good news is that I don't think you have to.

แต่ข่าวดีคือ ผมไม่คิดว่าคุณต้องแข่งหรอก

See, here's the thing.

อย่างที่เห็น

When you're learning something, you get meaning out of it.

เมื่อคุณเรียนอะไรสักอย่าง คุณจะได้เรียนรู้ความหมายของมัน

Whereas when you're scrolling for two hours on Instagram,

ในขณะที่ถ้าคุณไถอินสตาแกรม ไปสองชั่วโมง

a lot of times afterwards, you feel like you just wasted your time.

พอเวลาผ่านไป คุณจะรู้สึกเสียเวลา

So I think it's actually OK if your educational product

ผมคิดว่ามันโอเคนะ ถ้าผลิตภัณฑ์ด้านการศึกษา

is only 80 or 90 percent as engaging as something like TikTok,

จะน่าดึงดูดได้แค่ 80 หรือ 90 เปอร์เซ็นต์ของติ๊กต็อก

because the other 10 or 20 percent

เพราะอีก 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์

will be provided by people's internal motivation,

จะมาจากแรงจูงใจภายในของคนเรา

though of course, not much more than that.

แม้จะได้เท่านี้

This is really a key point.

นี่เป็นเรื่องสำคัญเลย

If we want to get people to do something meaningful,

หากเราต้องการให้ผู้คน ทำอะไรที่มีความหมาย

you can use the same techniques that apps like social media use

ก็ใช้เทคนิคเดียวกับ แอปโซเชียลมีเดียได้

to get people to do it.

เพื่อชักจูงให้ทำให้สิ่งนั้น

And even if you're not as engaging as those apps are,

และแม้ว่าจะไม่ได้ ชวนติดใจเท่ากับแอปพวกนั้น

you can still get hundreds of millions of people to use your product.

คุณก็ทำให้คนหลายร้อยล้าน ใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณได้

In the case of Duolingo, for example,

ตัวอย่างเช่น ดิวโอลิงโก

there are more people learning languages on Duolingo in the United States

ในสหรัฐอเมริกา มีคนที่เรียนภาษาต่างประเทศกับดิวโอลิงโก

than there are people learning languages across all US high schools combined.

มากกว่าคนที่เรียนภาษา ในโรงเรียนม.ปลายทั้งประเทศรวมกัน

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

And this is true in most countries in the world.

และเป็นเช่นนี้จริง ๆ ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก

My hope is that -- I know we can do this, but, you know,

ความหวังของผมนั้น ผมรู้แหละว่าเราทำได้แน่

my hope is that as humanity,

ความหวังของผม ในฐานะมนุษยชาติ

we can do what Duolingo has done for learning languages

เราจะทำสิ่งที่ ดิวโอลิงโกทำได้กับการเรียนภาษา

but for all other subjects.

ไปทำกับวิชาอื่น ๆ

Where we can get people to learn math with mobile phones,

เราจะทำให้ใคร ๆ ก็เรียนคณิตศาสตร์ผ่านมือถือ

like millions of people to learn math with mobile phones

ให้คนนับล้านคน มาเรียนคณิตผ่านมือถือ

or physics or whatever.

หรือเรียนฟิสิกส์ หรืออะไรก็ได้

I hope for a future in which screen time is not a bad thing,

ผมหวังถึงอนาคต ที่การใช้เวลาไปกับจอภาพไม่ใช่เรื่องแย่

in which we can deliver high-quality education to everyone, rich or poor,

อนาคตซึ่งเราจะสามารถมอบการศึกษาที่มีคุณภาพ ให้กับทุกคนได้ ไม่ว่ารวยหรือจน

using a mobile phone.

โดยใช้มือถือนี่แหละ

But the single most important thing that I can end this talk with,

แต่สิ่งที่ทำสำคัญที่สุด ที่ผมจะพูดเพื่อปิดการบรรยายนี้

is a reminder to please, pretty please, I beg you,

ผมขอเตือนนะครับ ขอหละ

do your language lessons today.

วันนี้เข้าไปเรียนด้วยนะครับ

Thank you very much.

ขอบคุณมากครับ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

Helen Walters: Luis, thank you so much.

เฮเลน วอลเตอร์ส: ลูอิส ขอบคุณมากค่ะ

I wonder if you can just say a little bit more about that last point,

ขอช่วยพูดเกี่ยวกับประเด็นสุดท้าย เพิ่มอีกสักหน่อยได้ไหมคะ

how do you think you can apply this type of thinking

คุณว่าเราจะนำแนวคิดนี้มาใช้

to other subjects?

กับวิชาอื่น ๆ ได้อย่างไรบ้าง

So you mentioned math, and things like that.

เพราะคุณพูดถึงคณิตศาสตร์ อะไรแบบนั้น

How do you do that?

จะทำได้อย่างไรบ้างคะ

Luis von Ahn: I think in particular,

ลูอิน วอน อาห์น: ผมคิดว่า

subjects that are learned through repetition

ยิ่งวิชาที่ต้องเรียนรู้ผ่านการทำซ้ำ ๆ

and it turns out most things that are kind of really meaningful

คือส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่มีความหมายมาก ๆ

are learned through thousands of repetitions.

จะผ่านการเรียนรู้ด้วย การทำซ้ำ ๆ หลายพันครั้ง

You learn to read through repetition,

เราหัดอ่าน ผ่านการอ่านซ้ำ

you learn elementary school math through repetition.

เรียนคณิตตอนประถมก็ผ่านการทำซ้ำ ๆ

Most things that you can learn through repetition,

ส่วนใหญ่แล้ว อะไรที่เรียนรู้ได้ ผ่านการทำซ้ำ ๆ

you can actually gamify and turn into something like Duolingo,

เรา gamify มันได้นะ ทำให้มันกลายเป็นอะไรที่คล้าย ๆ ดิวโอลิงโก

where people just do it a lot and do it fun.

ที่ให้ผู้ใช้ได้ใช้ไปด้วย สนุกไปด้วย

It's a little harder for things like explanations.

มีส่วนที่ยากสักหน่อย เช่น คำอธิบายต่าง ๆ

That probably is going to require some really good videos.

นั่นอาจต้องใช้ วิดีโอดี ๆ

Sal Khan is doing a really good job with that.

ซึ่ง ซัล คาน ดูแลเรื่องนี้ได้ดีทีเดียว

But for things that require a lot of repetition,

แต่สำหรับสิ่งที่ต้องทำซ้ำ ๆ

I think we can use the same methods.

ผมว่าเราใช้วิธีต่าง ๆ เหมือนกันได้

(Applause)

(เสียงปรบมือ)