The most lightning-struck place on Earth - Graeme Anderson

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Rawee Ma

The epic poem "La Dragontea"

โคลงมหากาพย์ "ลา ดรากอนทีร์" (La Dragontea)

describes how English explorer Sir Francis Drake

เล่าถึงนักสำรวจชาวอังกฤษ เซอร์ ฟรานซิส เดร็ค

sailed across the Gulf of Venezuela in 1595.

ที่ล่องเรือผ่านอ่าวเวเนซูเอล่า ในปี ค.ศ. 1595

He was aiming for the nearby Lake Maracaibo,

เขามุ่งไปยังทะเลสาบมาราไคโบที่อยู่ใกล้ ๆ

home to a colony of Spanish settlers he planned to overthrow.

ถิ่นอาณานิคมของผู้ตั้งรกรากชาวสเปน ที่เขาตั้งใจมาช่วงชิง

But as Drake moved towards the mouth of the lake under cover of darkness,

แต่เมื่อเดร็คเข้าใกล้ปากทางเข้าทะลสาบ ภายใต้ความมืดมิด

his plot was suddenly and magnificently foiled.

แผนการของเขาก็เป็นอันพังพินาศ

Huge flashes of lightning illuminated the landscape,

แสงสายฟ้าแลบจากฟ้าผ่า ส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ

exposing the fleet as if it were daytime,

เผยกองเรือของเขา ราวกับว่าตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน

which warned the Spanish about his approach.

ซึ่งเตือนชาวสเปนให้ล่วงรู้ว่า กองเรือของเขาเข้ามาใกล้แล้ว

Lake Maracaibo is the stormiest place on the planet.

ทะเลสาบมาราไคโบ เป็นสถานที่มีพายุมากที่สุดในโลก

The massive body of water at over 13,000 square kilometers

ผืนน้ำที่กินพื้นที่มากกว่า 13,000 ตารางกิโลเมตร

is a place of almost perpetual storming.

เป็นสถานที่เกือบจะมีพายุอยู่เสมอ

Thunderstorms rage above it for up to 200 days of the year,

ฝนฟ้าคะนองปกคลุมเหนือผืนน้ำนี้ นานถึง 200 วันต่อปี

each earsplitting event lasting for several hours.

แต่ละครั้งเกิดปรากฏการณ์สะเทือนแก้วหู เป็นเวลายาวนานหลายชั่วโมง

Like everywhere else on Earth,

เช่นเดียวกับทุก ๆ ที่บนโลก

lightning at Lake Maracaibo is the result of opposing electrical charges

ฟ้าผ่าที่ทะเลสาบมาราไคโบ เป็นผลมาจากประจุไฟฟ้าขั้วตรงข้าม

that steadily build up inside storm clouds.

ที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นภายในเมฆฝน

Once there's a large enough difference between charges either within the cloud

เมื่อพวกมันมีความแตกต่างระหว่างขั้ว มากพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเมฆ

or between the clouds and the Earth below,

หรือระหว่างเมฆและโลกที่อยู่ใต้มัน

it forms a spark that becomes a lightning bolt.

มันก่อให้เกิดประกายที่กลายเป็นสายฟ้าผ่า

Lightning strikes the earth about 350 million times per year,

สายฟ้าพุ่งผ่าลงมายังโลกประมาณ 350 ล้านครั้งต่อปี

averaging out to eleven strikes a second.

โดยเฉลี่ยคือสิบเอ็ดครั้งต่อวินาที

We know that thanks to satellites up in space and sensors on the ground.

เรารู้ข้อมูลนั้นเพราะดาวเทียมที่อยู่ในอวกาศ และตัวตรวจรับบนพื้นโลก

We can also measure the Earth's lightning density,

เราสามารถวัดความหนาแน่น ของฟ้าผ่าบนโลก

which is the frequency with which lightning flashes in a square kilometer.

ซึ่งคือความถี่ที่ฟ้าผ่าเกิดขึ้น ในหนึ่งตารางกิโลเมตร

Knowing where lightning strikes and how often

การที่เรารู้ว่าฟ้าผ่าเกิดขึ้นที่ไหน และด้วยความถี่มากเท่าไร

reveals the most lightning-rich places on Earth.

เปิดเผยถึงสถานที่ซึ่งเกิดฟ้าผ่า มากที่สุดในโลก

In the polar regions,

ในบริเวณขั้วโลก

there may only be one strike per several square kilometers each year.

อาจมีการเกิดฟ้าผ่าขึ้นเพียงครั้งเดียว ต่อหนึ่งตารางกิโลเมตรต่อปี

Meanwhile, lightning density at the equator

ในขณะที่ความหนาแน่นการเกิดฟ้าผ่า ที่บริเวณศูนย์สูตร

averages out to tens of flashes per square kilometer

โดยเฉลี่ยคือสิบครั้งต่อหนึ่งตารางกิโลเมตร

on account of the sun providing more heat to drive storms.

เนื่องจากมีดวงอาทิตย์ที่ให้ความร้อนมากกว่า ซึ่งทำให้เกิดการก่อตัวของพายุ

Yet nowhere can quite compare with Lake Maracaibo,

แน่กระนั้น ก็ยังหาที่ใดเปรียบได้กับที่ ทะเลสาบมาราไคโบ

where lightning strikes an average 250 times per square kilometer,

ที่ซึ่งเกิดฟ้าผ่าโดยเฉลี่ย 250 ครั้ง ต่อตารางกิโลเมตร

giving it the highest lightning density of any place on Earth.

ทำให้มีความหนาแน่นการเกิดฟ้าผ่า สูงกว่าแห่งใด ๆ ในโลก

A number of factors converge to create the lake's seemingly everlasting storms.

ปัจจัยหลายอย่างมีส่วนร่วมในการทำให้ ทะเลสาบนี้เหมือนจะเกิดพายุไม่เคยหยุด

Firstly, Lake Maracaibo lies just ten degrees north of the Equator,

ประการแรก ทะเลสาบมาราไคโบ อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรไป 10 องศาเหนือ

so there's a wealth of solar energy available to fuel the storms.

ฉะนั้น มันได้รับพลังงานแสงอาทิตย์เต็มที่ เพื่อเป็นพลังงานให้กับการเกิดพายุ

Thunderstorms also require a supply of water vapor to feed on,

ฝนฟ้าคะนองยังต้องการไอน้ำด้วย

and having the warm waters of the Caribbean so close by

และการที่มีน้ำอุ่นในคาริบเบียนใกล้ ๆ

provides an endless supply.

ก็เป็นการให้แหล่งน้ำที่ไม่มีวันหมด

Finally, the lake's southern and western edges

และสุดท้าย ทางตอนใต้และขอบตะวันตก ของทะเลสาบ

are bordered by two massive mountain ranges,

ถูกล้อมรอบด้วยสองเทือกเขาขนาดใหญ่

and as cool winds surge down these slopes,

และเมื่อลมเย็นพัดลงมาตามพื้นที่ลาดเอียง

they force up warm air,

พวกมันดันอากาศร้อนขึ้นไป

destabilizing the atmosphere and causing storm clouds to form.

ทำให้บรรยากาศไม่เสถียร และทำให้เกิดการก่อตัวของเมฆฝน

Together, these ingredients combine

ส่วนประกอบทั้งหมดนี้

to give rise to the most awe-inspiring thunderstorms on the planet,

ทำให้เกิดพายุฝนที่น่าที่งตะลึงงังที่สุดในโลก

a true sight to behold.

เป็นที่น่าไปดูให้เห็นด้วยตา

Centuries ago, Sir Francis Drake may have cursed the lake's intense illumination,

หลายศตวรรษก่อน เซอร์ ฟรานซิส เดร็ค อาจสาปแสงวูบวาบของทะเลสาบนี้

but today, sailors actually embrace this phenomenon.

แต่ทุกวันนี้ กะลาสีได้ใช้ประโยชน์ จากปรากฏการณ์นี้

They call it the Maracaibo Beacon,

พวกเขาเรียกมันว่า ไฟสัญญาณแห่งมาราไคโบ

and use it as a natural lighthouse to illuminate their path across the seas.

และใช้มันเป็นประภาคารธรรมชาติ เพื่อส่องทางให้กับพวกเขา