When will the next ice age happen? - Lorraine Lisiecki

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Rawee Ma

สองหมื่นปีก่อน

โลกของเรามีภูมิประเทศที่เยือกแข็ง เต็มไปด้วยช้างแมมอธขนหนา

แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ ที่มีความหนาสองสามพันเมตร

ปกคลุมบางส่วนของอเมริกาเหนือ เอเชีย และยุโรป

เราเรียกกันว่า "ยุคน้ำแข็ง"

แต่นักธรณีวิทยาเรียกมันว่า ยุคน้ำแข็งใหญ่สุดครั้งสุดท้าย

นั่นเป็นเพราะว่า มันเป็นครั้งล่าสุด ที่น้ำแข็งปกคลุมไปทั่วแบบนั้น

และ "ยุคน้ำแข็ง" เป็นคำทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้มีนิยามที่ตกลงกันไว้ชัดเจน

ตลอดล้านปีที่ผ่านมา

มียุคน้ำแข็งใหญ่สุดประมาณ 10 ครั้ง

ตลอดประวัติศาสตร์ของโลกของเรา สภาวะอากาศได้เปลี่ยนไปอย่างมาก

เป็นเวลาหลายร้อยล้านปี

ดาวเคราะห์ดวงนี้ ไม่มีขั้วโลกที่เย็นเป็นน้ำแข็ง

เมื่อไม่มีน้ำแข็งที่ว่านี้ ระดับน้ำทะเลจึงสูงกว่าตอนนี้ 70 เมตร

และความแตกต่างอย่างสุดขั้ว เมื่อประมาณ 700 ล้านปีก่อนก็คือ

โลกของเราถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เกือบทั้งหมด

ระหว่างช่วงที่เรารู้จักกันว่า "โลกน้ำแข็ง"

อะไรกันที่ทำให้เกิดการแกว่ง ของสภาวะอากาศอย่างนี้

สาเหตุหนึ่งก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ ในชั้นบรรยากาศ

ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก ที่เก็บความร้อนเอาไว้

ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟระเบิด

การกร่อนสลายทางเคมีของหิน

และการทับถมของสารอินทรีย์

สามารถทำให้เกิดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ เปลี่ยนไปมากตลอดหลายล้านปี

ตลอดล้านปีที่ผ่านมา คาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างต่ำ

และยุคน้ำแข็งใหญ่สุดที่เกิดขึ้นซ้ำ

เกิดจากวัฎจักรของการเคลื่อนของโลก ไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์

เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง

มันแกว่งอยู่บนแกนของมัน และมุมเอียงของมันก็เปลี่ยนไป

ซึ่งทำให้เปลี่ยนระดับแสงแดด ที่ส่งลงมายังส่วนต่าง ๆ บนผิวโลก

การแกว่งเมื่อผนวกเข้ากับ วงโคจรที่เป็นวงรีของโลก

ทำให้เกิดอุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนเปลี่ยนไป

ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด

เกิดขึ้นเมื่อโลกอยู่ใกล้หรือไกลดวงอาทิตย์

ทุก ๆ 100,000 ปีโดยประมาณ

ปัจจัยเหล่านี้เมื่อประกอบกันจะทำให้เกิด สภาวะที่หนาวกว่าสหัสวรรษที่แล้ว

ฤดูร้อนที่อุณหภูมิไม่สูงพอ ที่จะหลอมละลายหิมะจากฤดูหนาวเมื่อปีก่อน

จะทำให้น้ำแข็งสะสมปีแล้วปีเล่า

แผ่นน้ำแข็งเหล่านี้ ทำให้เกิดความเย็นมากขึ้น

โดยการสะท้อนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ออกไปสู่อวกาศมากขึ้น

ในเวลาเดียวกัน สภาวะที่เย็นกว่าเดิม ส่งผ่านคาร์บอนไดออกไซด์

จากชั้นบรรยากาศสู่มหาสมุทร

ทำให้เกิดความเย็น และการแผ่ขยายของธารน้ำแข็งมากขึ้นไปอีก

ประมาณ 20,000 ปีก่อน

แนวโน้มนี้จะถูกย้อนกลับเมื่อวงโคจรของโลก ทำให้แสงในช่วงฤดูร้อน

ส่งลงไปยังแผ่นน้ำแข็งยักษ์มากขึ้น และพวกมันก็จะเริ่มละลาย

ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 130 เมตร

และคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปลดปล่อย จากมหาสมุทรกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ

จากการวิเคราะห์ละอองเกสร และฟอสซิลทางทะเล

นักธรณีวิทยาสามารถบอกได้ว่า โลกมีอุณหภูมิสูงสุดเมื่อ 6,000 ปีก่อน

ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนของวงโคจร ที่ทำให้เกิดการเย็นตัวลงอีกครั้ง

แล้วต่อไปล่ะ

ตามวัฎจักรธรรมชาติที่เกิดซ้ำ ๆ ในการบันทึกทางสภาวะอากาศนี้

เราคาดว่าโลกมีแนวโน้มที่จะค่อย ๆ เย็นลง

ในช่วงไม่กี่พันปีหน้า

อย่างไรก็ตาม การเย็นตัวลงนี้ ย้อนกลับอย่างรวดเร็วประมาณ 150 ปีก่อน

ทำไมน่ะหรือ

ระดับคาร์บอนได้ออกไซด์ในชั้นบรรยายกาศ ได้เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19

เมื่อการใช้น้ำมันจากฟอสซิลเพิ่มขึ้น

เราทราบจากการศึกษาฟองอากาศ ที่ถูกกักไว้ในน้ำแข็งที่แอนตาร์กติก

การเพิ่มสูงขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ยังประจวบเหมาะเข้ากับ

อุณหภูมิทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น เกือบหนึ่งองศาเซลเซียส

สถานีติดตามแกนน้ำแข็งและชั้นบรรยากาศ

แสดงให้เราเห็นว่าระดับคาร์บอนไดออกไซด์ สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

และถึงระดับที่สูงกว่า

ช่วงใด ๆ ในระยะเวลา 80,000 ปีที่เคยผ่านมา

แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ทำนายว่า อุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกหนึ่งถึงสี่องศาในปี ค.ศ. 2100

ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้น้ำมันฟอสซิลเยอะแค่ไหน

นั่นมีผลอย่างไรต่อน้ำแข็ง ที่กรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาในตอนนี้

การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศในอดีต บอกเราว่าแม้ว่าอากาศจะอุ่นขึ้นนิดเดียว

ก็สามารถจะทำให้เกิดการหลอมละลายน้ำแข็ง ที่จะดำเนินไปเป็นเวลาหลายพันปี

เมื่อสิ้นสุดศตวรรษนี้

คาดว่าการหลอมละลายของน้ำแข็ง จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 30 ถึง 100 เซนติเมตร

ซึ่งเพียงพอที่จะส่งผลต่อเมื่อชายฝั่ง และประเทศที่เป็นเกาะ

ถ้าอุณหภูมิยังคงสูงขึ้นสี่องศาไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาสองสามสหัสวรรษ

ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นมากถึง 10 เมตร

จากการศึกษาสภาวะอากาศในอดีต

นักวิทยาศาสตร์รู้มากขึ้นว่าอะไรเป็นสาเหตุ ของการเคลื่อนของน้ำแข็ง

ที่รังสรรค์โลกของเรามาเป็นเวลาหลายพันปี

การวิจัยบอกเราว่า จงลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้

เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ให้เร็วที่สุด

เรายังมีโอกาสที่จะยับยั้งการสูญเสียน้ำแข็ง และช่วยรักษาชุมชนเมืองชายฝั่งเอาไว้ได้