How racism makes us sick | David R. Williams

Translator: Karen Iguchi Reviewer: Suppadej Mahapokai

An article in the Yale Alumni Magazine

บทความจากนิตยสารศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเยล

told the story of Clyde Murphy,

เล่าถึงเรื่องราวของ ไคลด์ เมอร์ฟีย์

a black man who was a member of the Class of 1970.

ชายผิวดำซึ่งเป็นสมาชิกของชั้นเรียนในปี 1970

Clyde was a success story.

ไคลด์มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ

After Yale and a law degree from Columbia,

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากเยล และปริญญาทางกฎหมายจากโคลอมเบีย

Clyde spent the next 30 years

ไคลด์ได้ใช้เวลากว่า 30 ปี

as one of America's top civil rights lawyers.

ในฐานะหนึ่งในทนายความชั้นนำ ด้านสิทธิพลเมืองในอเมริกา

He was also a great husband and father.

เขาเป็นทั้งสามีและพ่อที่ยอดเยี่ยม

But despite his success,

แต่ตรงกันข้ามกับความสำเร็จของเขา

personally and professionally,

ทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน

Clyde's story had a sad ending.

เรื่องราวของไคลด์มีจุดจบที่น่าเศร้า

In 2010,

ในปี 2010

at the age of 62,

ด้วยอายุ 62 ปี

Clyde died from a blood clot in his lung.

ไคลด์เสียชิวิตจากโรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด

Clyde's experience was not unique.

สิ่งที่เกิดขึ้นกับไคลด์ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร

Many of his black classmates from Yale

คนผิวดำมากมายซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้น ของเขาที่มหาวิทยาลัยเยล

also died young.

ล้วนเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย

In fact, the magazine article indicated

ความจริงแล้วบทความในนิตยสารได้ระบุว่า

that 41 years after graduation from Yale,

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากเยลได้ 41ปี

the black members of the Class of 1970

คนผิวดำซึ่งเป็นสมาชิกของชั้นเรียนในปี 1970

had a death rate that was three times higher

มีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมากกว่า 3 เท่า

than that of the average class member.

เมื่อเทียบกับสมาชิกคนอื่นๆในชั้นเรียน

It's stunning.

นี่เป็นสิ่งทีน่าประหลาดใจ

America has recently awakened

ไม่นานมานี้ประเทศอเมริกาได้ตระหนัก

to a steady drumbeat

อย่างต่อเนื่อง

of unarmed black men being shot by the police.

ถึงเหตุการณ์ที่ชายผิวดำไร้อาวุธ ถูกยิงโดยตำรวจ

What is even a bigger story

สิ่งที่เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่านั้น

is that every seven minutes,

คือทุกๆ 7 นาที

a black person dies prematurely in the United States.

มีวัยรุ่นผิวดำเสียชีวิต ในประเทศสหรัฐอเมริกา

นั่นแปลว่ามีคนผิวดำมากกว่า 200 คน

That is over 200 black people

die every single day

เสียชีวิตในแต่ละวัน

who would not die if the health of blacks and whites were equal.

ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่เสียชีวิตหากสุขภาพ ของคนผิวดำและผิวขาวนั้นเท่าเทียมกัน

For the last 25 years,

ใน 25 ปีที่ผ่านมา

I have been on a mission

ผมได้ปฏิบัติภารกิจ

to understand why does race

เพิ่อที่จะทำความเข้าใจว่าทำไมเชื้อชาติ

matter so profoundly for health.

ถึงสำคัญต่อสุขภาพอย่างลึกซึ้ง

When I started my career,

ในตอนที่ผมได้เริ่มทำอาชีพของผม

many believed that it was simply about racial differences

ผู้คนมากมายเชื่อว่าเป็นเพียงแค่ ความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ

in income and education.

ในเรื่องของรายได้และการศึกษา

I discovered that while economic status matters for health,

ผมได้ค้นพบว่าในขณะที่สถานะทาง เศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

there is more to the story.

มันยังมีเรื่องราวที่มากยิ่งกว่านั้น

So for example, if we look at life expectancy at age 25,

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราลองดูที่ ช่วงอายุขัยของคนอายุ 25 ปี

at age 25 there's a five-year gap between blacks and whites.

ที่อายุ 25 ปี มีช่องว่าง 5 ปี ระหว่างคนผิวดำและคนผิวขาว

And the gap by education for both whites and blacks

และช่องว่างที่เกิดจากการศึกษา ในคนผิวดำและคนผิวขาว

is even larger than the racial gap.

ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับช่องว่างทางเชื้อชาติ

At the same time, at every level of education,

ในขณะเดียวกัน ที่ทุกๆระดับ ของการศึกษา

whites live longer than blacks.

คนผิวขาวนั้นอยู่ได้นานกว่าคนผิวดำ

So whites who are high school dropouts

ดังนั้นคนผิวขาวซึ่งออกจาก โรงเรียนมัธยมปลาย

live 3.4 years longer than their black counterparts,

อยู่ได้ยาวนานกว่าคนผิวดำ ที่ออกเหมือนกัน 3.4 ปี

and the gap is even larger

และช่องว่างนี้ยิ่งกว้างมากขึ้น

among college graduates.

ระหว่างผู้ที่จบมหาวิทยาลัย

Most surprising of all,

สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ

whites who have graduated from high school

คนผิวขาวซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย

live longer than blacks with a college degree

อยู่ได้นานกว่าคนผิวดำที่ได้ปริญญา

or more education.

หรือจบการศึกษาระดับสูงกว่า

So why does race matter so profoundly for health?

แล้วทำไมเชื้อชาติถึงส่งผลกระทบ อย่างลึกซึ้งต่อสุขภาพ?

What else is it beyond education and income

ยังมีอะไรอีกนอกเหนือจากการศึกษาและรายได้

that might matter?

ที่อาจส่งผลกระทบ?

In the early 1990s,

ในช่วงต้นยุค 1990

I was asked to review a new book

ผมถูกขอให้ตรวจสอบหนังสือใหม่

on the health of black America.

ในเรื่องสุขภาพของ ชาวอเมริกันผิวดำ

I was struck that almost every single one

ผมตกตะลึงที่เกือบทุกบท

of its 25 chapters

ของทั้งหมด 25 บทนั้น

said that racism

กล่าวว่าการเหยียดชนชาติ

was a factor that was hurting the health of blacks.

เป็นปัจจัยที่ทำลายสุขภาพของคนผิวดำ

All of these researchers

นักวิจัยทุกคน

were stating that racism was a factor adversely impacting blacks,

ได้ระบุว่าการเหยียดเชื้อชาติส่งผลกระทบ อย่างร้ายแรงต่อคนผิวดำ

but they provided no evidence.

แต่พวกเขาไม่ได้ให้หลักฐานเลย

For me, that was not good enough.

สำหรับผมแล้วนั่นยังไม่ดีพอ

A few months later,

หลายเดือนหลังจากนั้น

I was speaking at a conference in Washington, DC,

ขณะที่ผมกำลังพูดอยู่ใน งานสัมนาที่วอชิงตัน ดีซี

and I said that one of the priorities for research

ผมพูดถึงหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับงานวิจัย

was to document the ways in which racism affected health.

คือการบันทึกว่าการเหยียดเชื้อชาติ ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้อย่างไร

A white gentleman stood in the audience

สุภาพบุรุษผิวขาวลุกขึ้นยืนท่ามกลางผู้ฟัง

and said that while he agreed with me that racism was important,

พร้อมกับพูดว่าเค้าเห็นด้วยกับผมว่า เรื่องการเหยียดผิวเป็นเรื่องใหญ่

we could never measure racism.

เราไม่สามารถ วัดการเหยียดผิวได้

"We measure self-esteem," I said.

ผมจึงพูดว่า "เราวัดที่ความมั่นใจในตัวเอง"

"There's no reason

มันไม่มีเหตุผลเลย

why we can't measure racism if we put our minds to it."

ที่เราจะวัดการเหยียดผิวไม่ได้ หากเราใส่ใจจริงๆ

And so I put my mind to it

ดังนั้นผมได้ใส่ความใส่ใจของผมลงไป

and developed three scales.

และพัฒนามาตราวัด 3 ระดับขึ้นมา

The first one captured major experiences of discrimination,

อันแรกตรวจจับเหตุการณ์ เลือกปฏิบัติที่รุนแรง

like being unfairly fired or being unfairly stopped by the police.

เช่น การถูกไล่ออกและถูก ตำรวจเรียกอย่างไม่เป็นธรรม

But discrimination also occurs in more minor and subtle experiences,

แต่การเลือกปฏิบัติสามารกเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่เล็กน้อยและลึกซึ้งกว่านั้น

and so my second scale, called the Everyday Discrimination Scale,

ฉะนั้นในระดับที่ 2 เรียกว่า ระดับการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

captures nine items

ในระดับนี้ตรวจจับ 9 สิ่ง

that captures experiences

ที่ตรวจจับประสบการณ์

like you're treated with less courtesy than others,

เช่น คุณถูกปฏิบัติอย่างไม่สุภาพ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ

you receive poorer service than others in restaurants or stores,

คุณได้รับการบริการที่แย่กว่าคนอื่น ในร้านอาหารหรือร้านค้า

or people act as if they're afraid of you.

หรือผู้คนแสดงท่าทางเหมือนกลัวคุณ

This scale captures

มาตราวัดนี้ตรวจจับ

ways in which the dignity and the respect

ถึงวิธีที่ศักดิ์ศรีและความเคารพ

of people who society does not value

ของผู้คนซึ่งสังคมไม่ได้ให้ความสำคัญ

is chipped away on a daily basis.

ได้ถูกทำลายลงในชีวิตประจำวัน

Research has found

งานวิจัยได้ค้นพบว่า

that higher levels of discrimination

ระดับการเลือกปฏิบัติที่สูงขึ้นนั้น

are associated with an elevated risk of a broad range of diseases

สัมพันธ์กันกับความเสี่ยงที่จะ ทำให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น

from blood pressure to abdominal obesity

ตั้งแต่โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วนลงพุง

to breast cancer to heart disease

โรคมะเร็งเต้านมไป จนถึงโรคหัวใจ

and even premature mortality.

ถึงขนาดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

Strikingly, some of the effects are observed at a very young age.

ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบบางส่วน สามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่อายุยังน้อยมาก

For example, a study of black teens

ยกตัวอย่างเช่น ผลการศึกษาวัยรุ่นชาวผิวดำ

found that those who reported higher levels of discrimination as teenagers

พบว่าผู้ที่แจ้งว่าโดน เลือกปฏิบัติสูงในสมัยวัยรุ่น

had higher levels of stress hormones,

มีระดับฮอร์โมนความเครียดที่สูงกว่า

of blood pressure

รวมทั้งความดันเลือด

and of weight at age 20.

และน้ำหนักที่อายุ 20 ปี

However,

อย่างไรก็ตาม

the stress of discrimination

ความเครียดจากการเลือกปฏิบัติ

is only one aspect.

เป็นเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น

Discrimination and racism

การเลือกปฏิบัติและการเหยียดผิว

also matters in other profound ways for health.

ยังส่งผลอย่างลึกซึ้งใน ด้านต่างๆ ของสุขภาพอีกด้วย

For example, there's discrimination in medical care.

ยกตัวอย่างเช่น การเลือกปฏิบัติ ในด้านการรักษาพยาบาล

In 1999, the National Academy of Medicine

ในปี 1999 สถาบันการแพทย์นานาชาติ

asked me to serve on a committee

ได้ขอให้ผมดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ

that found, concluded based on the scientific evidence,

ซึ่งค้นพบและสรุปตาม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

that blacks and other minorities

ว่าคนผิวดำและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ

receive poorer quality care than whites.

ได้รับการรักษาที่คุณภาพ ต่ำกว่าคนผิวขาว

This was true for all kinds of medical treatment,

คือสิ่งที่เป็นจริงในการรักษา ทางการแพทย์ทุกรูปแบบ

from the most simple

จากอันที่ง่ายที่สุด

to the most technologically sophisticated.

ไปจนถึงอันที่มีความซับซ้อน ทางเทคนิคมากที่สุด

One explanation for this pattern

คำอธิบายหนึ่งสำหรับ รูปแบบนี้

was a phenomenon that's called "implicit bias"

คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "นัยอคติ"

or "unconscious discrimination."

หรือ "การเลือกปฏิบัติอย่างไม่รู้ตัว"

Research for decades by social psychologists

มีการศึกษามาแล้วหลายศตวรรษ โดยนักจิตวิทยาสังคม

indicates that if you hold a negative stereotype

ได้บ่งชี้ว่าถ้าคุณมีการมองเหมารวมในแง่ลบ

about a group in your subconscious mind

กับกลุ่มปัจจัยหนึ่งในจิตใต้สำนึกของคุณ

and you meet someone from that group,

แล้วคุณได้พบกับบุคคลที่มาจากกลุ่มนั้นๆ

you will discriminate against that person.

คุณจะทำการแบ่งแยกบุคคลนั้นทันที

You will treat them differently.

คุณจะปฏิบัติต่อเขาอย่างต่างออกไป

It's an unconscious process. It's an automatic process.

มันคือกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เป็นระบบที่เกิดอัตโนมัติ

It is a subtle process, but it's normal

เป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน แต่ว่าเป็นเรื่องปกติ

and it occurs even among the most well-intentioned individuals.

และมันเกิดขึ้นแม้กระทั่งกับ บุคคลที่มีเจตนาดีที่สุด

But the deeper that I delved

แต่ยิ่งผมค้นคว้าข้อมูลอย่างละเอียด มากขึ้นเท่าไหร่

into the health impact of racism,

ในเรื่องผลกระทบของ การเหยียดผิวที่มีต่อสุขภาพ

the more insidious the effects became.

ผลกระทบนั้นยิ่งรุนแรงและ ยากที่จะสังเกตเท่านั้น

There is institutional discrimination,

มีการแบ่งแยกทางสถาบัน

which refers to discrimination

ซึ่งกล่าวถึงการเลือกปฎิบัติ

that exists in the processes of social institutions.

ที่เกิดในกระบวนการของ สถาบันทางสังคม

Residential segregation by race,

การแบ่งแยกที่อยู่ตามเชื้อชาติ

which has led to blacks and whites living in very different neighborhood contexts,

นำไปสู่การที่คนผิวดำและผิวขาวอาศัย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันมาก

is a classic example of institutional racism.

เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่พบได้บ่อย ของการแบ่งแยกทางสังคม

One of America's best-kept secrets

หนึ่งในความลับของประเทศอเมริกา ที่ถูกเก็บไว้อย่างดีคือ

is how residential segregation

วิธีที่การแบ่งแยกที่อยู่อาศัย

is the secret source

เป็นหนึ่งในความลับของที่มา

that creates racial inequality in the United States.

ที่สร้างความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ ในประเทศอเมริกา

In America, where you live

ที่อเมริกา สถานที่ที่คุณอยู่

determines your access to opportunities

กำหนดถึงการเข้าถึงของคุณในโอกาส

in education, in employment,

ทางการศึกษา,การจ้างงาน

in housing and even in access to medical care.

ในที่อยู่อาศัยและแม้กระทั่ง การเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์

One study of the 171 largest cities in the United States

หนึ่งในรายงานการศึกษา 171 เมืองใหญ่ทั่วสหรัฐอเมริกา

concluded that there is not even one city

สรุปได้ว่าไม่ใช่แค่เมืองเดียว

where whites live under equal conditions to blacks,

ที่คนผิวขาวและคนผิวดำอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่ไม่เท่าเทียมกัน

and that the worst urban contexts in which whites reside

และสภาพของเมืองที่แย่ที่สุด ที่คนผิวขาวอาศัยอยู่

is considerably better than the average context of black communities.

เมื่อเทียบกับสภาพสังคมของ คนผิวดำเฉลี่ยแล้วถือว่าดีกว่ามาก

Another study found

รายงานการศึกษาอีกอันได้ค้นพบว่า

that if you could eliminate statistically

ถ้าคุณสามารถกำจัด

residential segregation,

การแยกที่อยู่อาศัยทางสถิติได้

you would completely erase black-white differences in income,

คุณจะสามารถลบล้างความแตกต่างด้าน รายได้ของคนผิวดำและผิวขาวได้

education and unemployment,

รวมถึงการศึกษาและการว่างงาน

and reduce black-white differences in single motherhood

และลดความแตกต่างของแม่ลูกเดี่ยว ในคนผิวดำและผิวขาว

by two thirds,

ได้ถึง 2 ใน 3

all of that driven by segregation.

ทั้งหมดนั้นมีสาเหตุมาจากการแบ่งแยก

I have also learned

และผมยังได้เรียนรู้

how the negative stereotypes

ว่าทำอย่างไรการมองเหมารวมในแง่ลบ

and images of blacks in our culture

และภาพลักษณ์ของคนผิวดำ ในวัฒนธรรมเรา

literally create and sustain

ถูกสร้างและทำให้คงอยู่ต่อจริงๆอย่างไร

both institutional and individual discrimination.

ทั้งในการแบ่งแยกทางปัจเจกบุคคล และทางสถาบัน

A group of researchers have put together a database

กลุ่มนักวิจัยได้รวบรวมฐานข้อมูล

that contains the books,

ประกอบไปด้วยหนังสือ

magazines and articles

นิตยสารและบทความ

that an average college-educated American would read over their lifetime.

ซึ่งคนอเมริกันทั่วไปที่จบระดับมหาวิทยาลัย จะอ่านซ้ำในช่วงชีวิตของเค้า

It allows us to look within this database

มันช่วยให้เรามองผ่านฐานข้อมูลนี้

and see how Americans have seen words paired together

และเห็นว่าชาวอเมริกันมอง คำที่ถูกจับคู่กันอย่างไร

as they grow up in their society.

จากการที่พวกเค้าเติบโตมาในสังคมของพวกเค้า

So when the word "black" appears in American culture,

ดังนั้นเมื่อคำว่า "ดำ" ปราฏขึ้นมา ในวัฒนธรรมอเมริกัน

what co-occurs with it?

อะไรจะเกิดขึ้นตามมา?

"Poor,"

"ยากจน"

"violent,"

"รุนแรง"

"religious,"

"เคร่งศาสนา"

"lazy,"

"ขี้เกียจ"

"cheerful,"

"ร่าเริง"

"dangerous."

"อันตราย"

When "white" occurs,

เมื่อคำว่า"ขาว"ปรากฏ

the frequently co-occurring words

คำที่มักจะตามมาบ่อยๆ

are "wealthy,"

คือ "ร่ำรวย"

"progressive,"

"หัวก้าวหน้า"

"conventional,"

"เป็นต้นแบบ"

"stubborn,"

"หัวแข็ง"

"successful,"

"ประสบความสำเร็จ"

"educated."

"มีการศึกษา"

So when a police officer

ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

overreacts when he sees an unarmed black male

ทำเกินกว่าเหตุเมื่อเห็นผู้ชายผิวดำไร้อาวุธ

and perceives him to be violent and dangerous,

และเข้าใจว่าเค้าเป็นคน รุนแรงและอันตราย

we are not necessarily dealing with an inherently bad cop.

เราไม่จำเป็นที่จะต้องยุ่ง กับตำรวจที่แย่โดยสันดาน

We may be simply viewing

เราอาจจะเห็น

a normal American

คนอเมริกันทั่วไป

who is reflecting what he has been exposed to

ผู้สะท้อนให้เห็นถึง สิ่งที่เค้าได้รับผลกระทบ

as a result of being raised

เป็นผลจากการที่ถูกเลี้ยงดู

in this society.

ในสังคมนี้

From my own experience,

จากประสบการณ์ของผม

I believe that your race

ผมเชื่อว่าเชื้อชาติของคุณ

does not have to be a determinant of your destiny.

ไม่ได้เป็นตัวกำหนดโชคชะตาของคุณ

I migrated to the United States

ผมอพยพมาที่ประเทศอเมริกา

from the Caribbean island of Saint Lucia

จากหมู่เกาะแคริบเบียนที่เซนต์ลูเซีย

in the late 1970s

ในช่วงปลายยุค 70

in pursuit of higher education,

เพื่อที่จะพยายามหาการศึกษาระดับสูงขึ้น

and in the last 40 years,

และในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา

I have done well.

ผมทำได้ดี

I have had a supportive family,

ผมมีครอบครัวที่ให้การสนับสนุน

I have worked hard,

ผมทำงานหนัก

I have done well.

และผมก็ทำได้ดี

But it took more for me to be successful.

แต่มันใช้ความพยายามอย่างมาก สำหรับผมที่จะประสบความสำเร็จ

I received a minority fellowship from the University of Michigan.

ผมได้รับทุนสำหรับผู้ด้อยโอกาส ทางสังคมจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

Yes. I am an affirmative action baby.

ใช่แล้ว ผมเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดี

Without affirmative action,

ถ้าไม่มองโลกในแง่ดี

I would not be here.

ผมคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่

But in the last 40 years,

แต่ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา

black America has been less successful than I have.

คนอเมริกันผิวดำประสบความสำเร็จน้อยกว่าผม

In 1978, black households in the United States

ในปี 1978 ครอบครัวชาวผิวดำในประเทศอเมริกา

earned 59 cents for every dollar of income whites earned.

มีรายได้ 59 เซนต์จากรายได้ ทุกๆหนึ่งดอลลาร์ที่คนขาวได้รับ

In 2015,

ในปี 2015

black families still earn 59 cents

ครอบครัวคนผิวดำยังคงมีรายได้ 59 เซ็นต์

for every dollar of income that white families receive,

จากรายได้ทุกๆดอลล่าร์ ที่ครอบครัวผิวขาวได้รับ

and the racial gaps in wealth are even more stunning.

และความแตกต่างทางเชื้อชาติ ในด้านความร่ำรวยยิ่งน่าตกใจ

For every dollar of wealth that whites have,

สำหรับทุกๆดอลล่าร์ของ ความมั่งคั่งที่คนขาวมี

black families have six pennies and Latinos have seven pennies.

ครอบครัวผิวดำได้หกเพนนี และคนลาตินได้เจ็ดเพนนี

The fact is,

ความจริงคือ

racism

การเหยียดผิว

is producing a truly rigged system

ทำให้เกิดระบบโกงอย่างแท้จริง

that is systematically disadvantaging some racial groups in the United States.

ซึ่งทำให้บางกลุ่มเชื้อชาติใน ประเทศสหรัฐอเมริกาเสียประโยชน์จากระบบ

To paraphrase Plato,

ดังข้อความของเพลโต

there is nothing so unfair

ไม่มีอะไรที่ไม่ยุติธรรม

as the equal treatment of unequal people.

เท่ากับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ให้กับคนที่อยู่ต่างฐานะกัน

And that's why I am committed

และนั่นคือเหตุผลที่ผมมุ่งมั่น

to working to dismantle racism.

ทำงานเพื่อที่จะกำจัดการเหยียดผิว

I deeply appreciate the fact

ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างมากกับความจริง

that I am standing on the shoulders

ที่ว่าผมได้รับการสนับสนุน

of those who have sacrificed even their lives to open the doors

ของผู้คนที่เสียสละกระทั่ง ชีวิตของตัวเองเพื่อเปิดประตู

that I have walked through.

ที่ผมได้เดินผ่าน

I want to ensure that those doors remain open

ผมต้องการที่จะทำให้แน่ใจว่า ประตูเหล่านั้นยังคงเปิดอยู่

and that everyone can walk through those doors.

และทุกคนสามารถเดินผ่านประตูเหล่านั้นได้

Robert Kennedy said,

โรเบิร์ต เคนเนดี กล่าวไว้ว่า

"Each time a man" -- or woman, I would add --

"แต่ละครั้งที่ผู้ชาย"-- หรือผู้หญิง ผมขอเสริม--

"stands up for an ideal

ลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อสนับสนุนอุดมคติ

or acts to improve the lot of others

หรือการกระทำเพื่อพัฒนาผู้คนมากมาย

or strikes out against injustice,

หรือการต่อต้านความอยุติธรรม

he sends forth a tiny ripple of hope,

เขาได้ส่งระลอกความหวังเล็กๆ

and those ripples can build a current

และระลอกเหล่านั้นสามารถสร้างกระแส

that can sweep down the mightiest walls of oppression and resistance."

ที่สามารถล้มล้างกำแพงใหญ่ ซึ่งกดขี่และขัดขวางลงได้

I am optimistic today

ผมมองโลกในแง่ดีวันนี้

because all across America,

เพราะทั่วประเทศอเมริกา

I have seen ripples of hope.

ผมได้เห็นระลอกของความหวัง

The Boston Medical Center

has added lawyers to the medical team

ได้เพิ่มทนายความในทีมแพทย์

so that physicians can improve the health of their patients

ทำให้แพทย์สามารถพัฒนาสุขภาพของผู้ป่วยได้

because the lawyers are addressing the nonmedical needs their patients have.

เพราะทนายความจะดูแลความต้องการ ที่นอกเหนือทางการแพทย์ของผู้ป่วย

Loma Linda University has built a gateway college

มหาวิทยาลัยโลมา ลินดา ได้สร้าง มหาวิทยาลัยที่ให้โอกาส

in nearby San Bernardino

ที่ใกล้ๆ ซาน เบอร์นาดินอ

so that in addition to delivering medical care,

ดังนั้นนอกเหนือจากให้ การรักษาทางการแพทย์

they can provide job skills

พวกเค้าสามารถให้ทักษะในการทำงาน

and job training

และการฝึกอบรมอาชีพ

to a predominantly minority, low-income community members

กับคนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่ซึ่งเป็น สมาชิกในชุมชนที่มีรายได้น้อย

so that they will have the skills they need to get a decent job.

เพื่อที่พวกเค้าจะมีทักษะที่ จำเป็นต่อการได้งานที่ดี

In Chapel Hill, North Carolina,

ที่เมืองชาเพลฮิลล์ นอร์ทแคโรไลนา

the Abecedarian Project has figured out

โครงการอะเบเซดาเรี่ยน ได้ค้นพบว่า

how to ensure that they have lowered the risks for heart disease

ทำอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเค้า ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ

for blacks in their mid-30s

สำหรับคนผิวดำในช่วงกลางอายุ 30 ปี

by providing high-quality day care

โดยจัดให้มีการดูแลประจำวันอย่างมีคุณภาพ

from birth to age five.

ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 5 ปี

In after-school centers across the United States,

ที่ศูนย์เรียนรู้หลังเลิกเรียน ทั่วประเทศอเมริกา

Wintley Phipps and the US Dream Academy

วินต์ลีย์ ฟิปส์และยูเอส ดรีม อะคาเดมี่

is breaking the cycle of incarceration

ได้ทำลายวิถีชีวิตที่ต้อง วนเวียนอยู่แต่ในห้องขัง

by providing high-quality academic enrichment and mentoring

โดยการเพิ่มความสามารถทางวิชาการ และมีการให้คำปรึกษา

to the children of prisoners

ให้แก่เด็กที่เป็นนักโทษ

and children who have fallen behind in school.

และเด็กที่ไม่ได้รับ การศึกษาในโรงเรียน

In Huntsville, Alabama,

ที่ฮันต์วิลล์ อลาบาม่า

Oakwood University,

มหาวิทยาลัยโอ็ควู้ด

a historically black institution,

สถาบันทางประวิติศาสตร์ของคนผิวดำ

is showing how we can improve the health of black adults

แสดงให้เห็นว่าเราจะสามารถพัฒนา สุขภาพของผู้ใหญ่ชาวผิวดำได้อย่างไร

by including a health evaluation

โดยเพิ่มการประเมินทางสุขภาพ

as a part of freshman orientation

เป็นส่วนหนึ่งของการ ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่

and giving those students the tools they need

และให้แนวทางที่จำเป็น แก่นักเรียนเหล่านั้น

to make healthy choices

เพื่อเลือกสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ

and providing them annually a health transcript

และจัดบันทึกสุขภาพประจำปีให้พวกเค้า

so they can monitor their progress.

เพื่อให้พวกเค้าสามารถ ติดตามความคืบหน้าได้

And in Atlanta, Georgia,

และที่แอตแลนต้า, จอร์เจีย

Purpose Built Communities has dismantled the negative effects of segregation

วัตถุประสงค์ของการสร้างชุมชนเพื่อกำจัด ผลกระทบเชิงลบของการแบ่งแยก

by transforming a crime-ridden,

โดยการเปลี่ยนแหล่งอาชญากรรม

drug-infested public housing project

แหล่งชุมชนยาเสพติด

into an oasis of mixed-income housing,

สู่ชุมชนของผู้มีรายได้หลาย ระดับมาอาศัยอยู่ด้วยกัน

of academic performance,

และมีศักยภาพทางด้านวิชาการ

of great community wellness

และเป็นชุมชนที่ทุกคนมีสุขภาพที่ดี

and of full employment.

และทุกคนมีงานทำ

And finally,

สุดท้ายนี้

there is the Devine solution.

มีแนวทางแก้ปัญหาของดีไวน์

Professor Patricia Devine

ศาสตราจารย์แพทริเซีย ดีไวน์

of the University of Wisconsin

แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน

has shown us how we can attack

ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่เราจะสามารถทำลาย

our hidden biases head on

อคติที่ซ่อนอยู่ของเราอย่างซึ่งๆ หน้า

and effectively reduce them.

และทำให้มันลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Each one of us

พวกเราแต่ละคน

can be a ripple of hope.

สามารถเป็นคลื่นเล็กๆแห่งความหวัง

This work will not always be easy,

งานชิ้นนี้ไม่มีทางที่จะง่ายตลอด

but former Supreme Court Justice Thurgood Marshall

แต่เธอร์จู้ด มาร์แชล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา

has told us, "We must dissent.

ได้บอกพวกเราว่า "เราต้องคัดค้าน

We must dissent from the indifference.

เราต้องคัดค้านความไม่เอาใจใส่

We must dissent from the apathy.

เราต้องคัดค้านความไม่ยินดียินร้าย

We must dissent from the hatred and from the mistrust.

เราต้องคัดค้านความเกลียดชัง และความหวาดระแวง

We must dissent

เราต้องคัดค้าน

because America can do better,

เพราะประเทศอเมริกา สามารถทำได้ดีกว่านี้

because America has no choice but to do better."

เพราะประเทศอเมริกาไม่มี ทางเลือกอื่น นอกจากทำให้ดีขึ้นได้

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(ปรบมือ)