Should we create a solar shade to cool the earth? | Danny Hillis

Translator: วัชชพล ทฤษฎีรักษ์

[A provocation from Danny Hillis:]

[บรรยายกระตุกต่อมคิดจากแดนนี ฮิลส์]

[It's time to start talking about engineering our climate]

[ถึงเวลาที่จะคุยกันเรื่องของ วิศวกรรมสภาพอากาศแล้ว]

What if there was a way to build a thermostat

จะเกิดอะไรขึ้นหากมีวิธีสร้าง เครื่องควบคุมความร้อน

that allowed you to turn down the temperature of the earth

ที่สามารถปรับลดอุณหภูมิโลกลง

anytime you wanted?

เมื่อใดก็ได้

Now, you would think if somebody had a plausible idea about how to do that,

คุณอาจคิดว่าถ้าใครมีแนวคิด ถึงวิธีการที่เป็นไปได้

everybody would be very excited about it,

ทุกคนจะต้องตื่นเต้นไปกับมัน

and there would be lots of research on how to do it.

และมันต้องมีงานวิจัยมากมายเพื่อหาวิธีทำ

But in fact, a lot of people do understand how to do that.

แต่จริง ๆ แล้วมีหลายคนที่เข้าใจดีว่า จะต้องทำอย่างไร

But there's not much support for research in this area.

แต่การสนับสนุนงานวิจัยในด้านนี้มีน้อยมาก

And I think part of it

ผมคิดว่าส่วนหนึ่ง

is because there are some real misunderstandings about it.

เป็นเพราะความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เกี่ยวกับเรื่องนี้

So I'm not going to try to convince you today that this is a good idea.

ดังนั้นผมจะไม่พยายามโน้มน้าวคุณ ว่ามันเป็นแนวคิดที่ดี

But I am going to try to get your curiosity going about it

แต่ผมจะพยายามกระตุ้นให้คุณคิดถึงมัน

and clear up some of the misunderstandings.

และแก้ไขความเข้าใจผิดต่าง ๆ

So, the basic idea of solar geoengineering

แนวคิดพื้นฐานของวิศวกรรมแสงอาทิตย์

is that we can cool things down

คือเราสามารถทำให้อากาศเย็นลง

just by reflecting a little bit more sunlight

โดยสะท้อนแสงแดดกลับ

back into space.

ไปยังอวกาศ

And ideas about how to do this have been around literally for decades.

แนวคิดดังกล่าวมีวิธีทำมานาน เป็นทศวรรษแล้ว

Clouds are a great way to do that, these low-lying clouds.

เมฆสะท้อนแสงแดดได้ดี เช่น เมฆที่ลอยต่ำเหล่านี้

Everybody knows it's cooler under a cloud.

ทุกคนรู้ว่าอากาศใต้เมฆจะเย็นกว่า

I like this cloud because it has exactly the same water content

ผมชอบเมฆเหล่านี้เพราะมันมีปริมาณน้ำ

as the transparent air around it.

เท่ากับอากาศรอบ ๆ ตัวมัน

And it just shows that even a little bit of a change in the flow of the air

และมันแสดงให้เห็นว่า อากาศที่ไหลเวียนเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย

can cause a cloud to form.

สามารถทำให้เกิดเมฆได้

We make artificial clouds all the time.

เราทำให้เกิดเมฆอยู่ตลอดเวลา

These are contrails, which are artificial water clouds

เหล่านี้คือพวยการกลั่นตัว ซึ่งเป็นเมฆเทียม

that are made by the passing of a jet engine.

ที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์ไอพ่นที่บินผ่านไป

And so, we're already changing the clouds on earth.

ดังนั้นเราจึงได้เริ่มเปลี่ยนเมฆกัน บนโลกแล้ว

By accident.

โดยไม่ได้ตั้งใจ

Or, if you like to believe it, by supersecret government conspiracy.

หรือ ถ้าคุณอยากเชื่อว่ามันเป็นแผนลับสุดยอด ของรัฐบาลที่สมคบคิดกันก็ได้

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

But we are already doing this quite a lot.

เราทำมันอยู่แล้วหลายอย่าง

This is a NASA picture of shipping lanes.

นี่เป็นรูปเส้นทางเดินเรือขนส่งจากนาซ่า

Passing ships actually cause clouds to form,

เรือขนส่งที่ผ่านไปทำให้เกิดเมฆขึ้นจริง ๆ

and this is a big enough effect

และมันก็มากพอที่จะเกิดผลกระทบ

that it actually helps reduce global warming already by about a degree.

ที่ช่วยลดโลกร้อนไปแล้วราว 1 องศา

So we already are doing solar engineering.

ดังนั้นนับว่าเราทำวิศวกรรมแสงแดดกันไปแล้ว

There's lots of ideas about how to do this.

มีแนวคิดวิธีทำหลายแบบในการทำเช่นนี้

People have looked at everything,

เราดูความเป็นไปได้แล้วทุกทาง

from building giant parasols out into space

ตั้งแต่สร้างร่มยักษ์ในอวกาศ

to fizzing bubble waters in the ocean.

ไปจนถึงทำให้น้ำทะเลซ่า

And some of these are actually very plausible ideas.

ซึ่งแนวคิดบางตัวนั้นเป็นไปได้มาก

One that was published recently by David Keith at Harvard

หนึ่งในแนวคิดที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อไม่นาน โดย เดวิด คีธ จากฮาวาร์ด

is to take chalk and put dust up into the stratosphere,

คือการนำฝุ่นชอล์ก โปรยไปในชั้นสตราโตสเฟียร์

where it reflects off sunlight.

ที่มันจะสามารถสะท้อนแสงได้

And that's a really neat idea,

นี่เป็นแนวคิดที่ดีมาก

because chalk is one of the most common minerals on earth,

เพราะชอล์กเป็นแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีมากที่สุดในโลก

and it's very safe -- it's so safe, we put it into baby food.

และมันปลอดภัยมาก--ปลอดภัย ถึงขนาดที่เรามาใช้ในอาหารทารกได้

And basically, if you throw chalk up into the stratosphere,

และถ้าคุณโปรยชอล์กไปบนชั้นสตราโตสเฟียร์

it comes down in a couple of years all by itself, dissolved in rainwater.

มันก็จะละลายตกลงมากับฝน ภายในไม่กี่ปี

Now, before you start worrying about all this chalk in your rainwater,

ก่อนที่คุณจะเริ่มกังวลเรื่องชอล์ก ที่ปะปนในน้ำฝน

let me explain to you how little of it it actually takes.

ผมจะบอกให้ฟังว่ามันต้องใช้น้อยแค่ไหน

And that turns out to be very easy to calculate.

ปรากฎว่ามันคำนวณได้ง่ายมาก

This is a back-of-the-envelope calculation I made.

ผมคำนวณไว้หลังซองจดหมายไว้แบบนี้

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

I assure you, people have done much more careful calculations,

ผมประกันได้เลยว่า มีหลายคนที่คำนวณละเอียดกว่านี้

and it comes out with the same answer,

แล้วได้ผลลัพธ์เดียวกัน

which is that you have to put chalk up at the rate of about 10 teragrams a year

คือคุณต้องโปรยชอล์กขึ้นไปปริมาณ 10 ล้านล้านกรัมต่อปี

to undo the effects of the CO2 that we've already done --

เพื่อย้อนผลที่เกิดจาก CO2 ที่มนุษย์ได้ทำลงไปแล้ว

just in terms of temperature, not all the effects, but the temperature.

ในแง่ของอุณหภูมิเท่านั้น ไม่ใช่ผลกระทบทั้งหมด

So what does that look like?

แล้วมันเป็นยังไง

I can't visualize 10 teragrams per year.

ผมนึกภาพชอล์ก 10 ล้านล้านกรัมต่อปีไม่ออก

So I asked the Cambridge Fire Department and Taylor Milsal

ผมจึงขอให้แผนกดับเพลิงของแคมบริดจ์ กับเทเลอร์ มิลซอล

to lend me a hand.

ให้ช่วยทดลอง

This is a hose pumping water at 10 teragrams a year.

นี่คือภาพสายฉีดน้ำ10 ล้านล้านกรัมต่อปี

And that is how much

นี่ไงปริมาณ

you would have to pump into the stratosphere

ที่ต้องปั๊มขึ้นไปบนชั้นสตราโตสเฟียร์

to cool the earth back down to pre-industrial levels.

เพื่อทำให้โลกเย็นลง อยู่ในระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม

And it's amazingly little; it's like one hose for the entire earth.

มันน้อยจนเหลือเชื่อ มันแค่สายฉีดเดียวสำหรับทั้งโลก

Now of course, you wouldn't really use a hose,

แน่นอนว่า คุณใช้สายยางฉีดไม่ได้

you'd fly it up in airplanes or something like that.

คุณต้องใช้เครื่องบินหรืออะไรอย่างนั้น

But it's so little, it would be like putting a handful of chalk

แต่มันน้อยมาก พอ ๆ กับโรยชอล์ก 1 กำมือ

into every Olympic swimming pool full of rain.

ลงในสระว่ายน้ำโอลิมปิก ที่เต็มไปด้วยน้ำฝน

It's almost nothing.

มันแทบไม่มีชอล์กเลย

So why don't people like this idea?

แล้วทำไมไม่มีใครชอบแนวคิดนี้

Why isn't it taken more seriously?

ทำไมไม่มีใครทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง

And there are some very good reasons for that.

มันมีเหตุผลที่ดีอยู่

A lot of people really don't think we should be talking about this at all.

คนจำนวนมากคิดว่า เราไม่ควรพูดกันเรื่องนี้เลย

And, in fact, I have some very good friends in the audience

และ จริง ๆ เพื่อนสนิทของผมหลายคนที่ อยู่ในกลุ่มผู้ชม

who I respect a lot,

ผู้ซึ่งเป็นคนที่ผมนับถือมาก

who really don't think I should be talking about this.

และเขาคิดว่าจริง ๆ แล้ว ผมไม่ควรขึ้นมาพูดเรื่องนี้

And the reason is that they're concerned

เหตุผลคือพวกเขากังวล

that if people imagine there's some easy way out,

ว่าถ้าเราคิดว่ามีทางแก้ง่าย ๆ

that we won't give up our addiction to fossil fuels.

เราก็จะไม่เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

And I do worry about that.

และผมก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน

I think it's actually a serious problem.

ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่มากจริง ๆ

But there's also, I think, a deeper problem,

แต่ผมคิดว่ามันมีปัญหาลึก ๆ อีก

which is: nobody likes the idea of messing with the entire earth --

คือไม่มีใครชอบแนวคิด เรื่องการยุ่งกับโลกทั้งใบ

I certainly don't.

ผมก็ไม่ชอบเช่นกัน

I love this planet, I really do.

ผมรักโลกใบนี้

And I don't want to mess with it.

และผมก็ไม่อยากไปยุ่งกับมัน

But we're already changing our atmosphere,

แต่เรากำลังเปลี่ยนชั้นบรรยากาศโลกอยู่แล้ว

we're already messing with it.

เรากำลังยุ่งกับมันอยู่แล้ว

And so I think it makes sense for us to look for ways

และมันก็สมเหตุสมผลที่เราจะมองหาวิธี

to mitigate that impact.

ลดผลกระทบนั้น

And we need to do research to do that.

แล้วเราก็ต้องการงานวิจัยเพื่อทำเช่นนั้น

We need to understand the science behind that.

เราต้องเข้าใจวิทยาศาสตร์เบื้องหลัง ของเรื่องนี้

I've noticed that there's a theme that's kind of developed at TED,

ผมสังเกตว่า TED เริ่มมีหัวข้อแบบ

which is kind of, "fear versus hope,"

"ความกลัว VS ความหวัง"

or "creativity versus caution."

หรือ "ความสร้างสรรค์ VS ความรอบคอบ"

And of course, we need both of those.

แน่นอนว่า เราต้องการทั้งคู่

So there aren't any silver bullets.

ดังนั้นมันจึงไม่มีทางออกที่ดีไปหมดทุกอย่าง

This is certainly not a silver bullet.

และแน่นอนว่าวิธีนี้ก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง

But we need science to tell us what our options are;

แต่เราต้องการให้วิทยาศาสตร์ บอกเราว่ามีวิธีใดบ้าง

that informs both our creativity and our caution.

ที่มีทั้งความสร้างสรรค์และความรอบคอบ

So I am an optimist about our future selves,

ดังนั้นผมจึงยังมองเห็นแสงสว่าง สำหรับเราในอนาคต

but I'm not an optimist because I think our problems are small.

แต่ผมไม่ได้เห็นแสงสว่าง เพราะปัญหามันเล็กน้อย

I'm an optimist because I think our capacity to deal with our problems

ผมเห็นแสงสว่างเพราะผมคิดว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาของเรา

is much greater than we imagine.

นั้นสูงกว่าที่เราคิดมาก

Thank you very much.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

This talk sparked a lot of controversy at TED2017,

มีการถกเถียง กันมากในหัวข้อนี้ที่ TED 2017

and we encourage you to look at discussions online

และเราอยากให้คุณออนไลน์ไปดู

to see other points of view.

มุมมองของคนอื่น