What a digital government looks like | Anna Piperal

Translator: Panitan Suvannaroj Reviewer: Chatthip Chaichakan

Almost 30 years ago,

เกือบ 30 ปีก่อน

my country was facing the need to rebuild everything from scratch.

ประเทศของฉันเผชิญหน้ากับความจำเป็น ในการสร้างทุกอย่างขึ้นใหม่จากศูนย์

After years of Soviet occupation,

ภายหลังจากหลายปีภายใต้การยึดครอง โดยโซเวียต

Estonia regained its independence, but we were left with nothing.

เอสโตเนียได้รับเอกราช แต่เราไม่มีอะไรเลย

No infrastructure, no administration, no legal code.

ไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีฝ่ายบริหาร ไม่มีกฎหมาย

Organizational chaos.

องค์กรต่าง ๆ มีความวุ่นวาย

Out of necessity,

จากความจำเป็นดังกล่าว

the state leaders back then had to make some daring choices.

ผู้นำประเทศในเวลานั้นจำเป็นต้อง ทำการเลือกที่ท้าทาย

The ones that our country could afford.

ทางเลือกที่ประเทศของเราสามารถทำได้

There was a lot of experimentation and uncertainty

มีการทดลองและความไม่แน่นอนมากมาย

but also a bit of luck involved,

แต่ก็ยังมีโชคช่วยเข้ามาด้วย

particularly in the fact that we could count on a number

โดยเฉพาะ ข้อเท็จจริงที่่ว่า เราสามารถ วางใจใน

of brilliant visionaries,

ผู้มีวิสัยทัศน์

cryptographers and engineers.

นักแปลรหัส และ วิศวกรที่ ฉลาดหลักแหลม

I was just a kid back then.

ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็ก

Today, we are called the most digital society on earth.

วันนี้ เราถูกเรียกว่าเป็นสังคมที่ เป็นดิจิทัลที่สุดในโลก

I'm from Estonia,

ฉันมาจากประเทศเอสโตเนีย

and we've been declaring taxes online since 2001.

และเราได้มีการแจ้งภาษีทางออนไลน์ ตั้งแต่ปี 2001

We have been using digital identity and signature since 2002.

เราใช้การระบุตัวตนและลายมือชื่อ อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ปี 2002

เราเลือกตั้งออนไลน์ตั้งแต่ปี 2005

We've been voting online since 2005.

And for today, pretty much the whole range of the public services

และสำหรับวันนี้ โดยส่วนใหญ่ของ การให้บริการของราชการ

that you can imagine:

ที่คุณสามารถนึกภาพได้

education, police, justice, starting a company,

การศึกษา ตำรวจ ศาล การจัดตั้งบริษัท

applying for benefits, looking at your health record

การยื่นขอสิทธิประโยชน์ การดูข้อมูลสุขภาพของคุณ

or challenging a parking ticket --

การโต้แย้งค่าปรับการจอดรถ

that's everything that is done online.

ทุกสิ่งถูกกระทำผ่านระบบออนไลน์

In fact, it's much easier to tell you

ความจริง มันง่ายกว่าที่จะบอกคุณ

what are the three things we cannot yet do online.

ถึง 3 สิ่งที่ไม่เรายังไม่สามารถทำผ่าน ออนไลน์

We have to show up to pick up our ID documents,

เราต้องแสดงตัวเพื่อรับบัตรประจำตัวประชาชน

get married or divorced,

แต่งงานหรือหย่า

or sell real estate.

หรือขายอสังหาริมทรัพย์

That's pretty much it.

ก็ประมาณนั้น

So, that's why don't freak out

ดังนั้น จึงอย่าตื่นเต้น

when I tell you that every year

เมื่อฉันบอกคุณว่า ทุกปี

I can't wait to start doing my tax declaration.

ฉันรอไม่ไหวที่จะเริ่มแจ้งภาษี

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Because all I have to do

เพราะทั้งหมดที่ฉันต้องทำ

is sit on my couch with a mobile phone,

คือนั่งที่เก้าอี้กับมือถือเครื่องนึง

swipe a few pages with prefilled data on income and deductions

เลื่อนไปซักหน้าสองหน้าที่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับ รายได้และการหักที่ระบุไว้แล้ว

และกดส่ง

and hit submit.

After three minutes,

หลังจากนั้น 3 นาที

I'm looking at the tax return amount.

ฉันก็ได้เห็นเงินคืนภาษี

It actually feels like a quite rewarding experience.

มันรู้สึกเหมือนว่า เป็นการได้รับรางวัล

No tax advisors,

ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี

no collecting receipts,

ไม่มีการจัดเก็บใบเสร็จ

no doing the math.

ไม่มีการคำนวณ

And have I mentioned that I have not visited a state office

และฉันได้บอกรึยังว่า ฉันไม่ได้ ไปหน่วยงานราชการ

for almost seven years?

เกือบ 7 ปีแล้ว ?

Indeed, one of the features of the modern life

ที่จริง มีสิ่งนึงในชีวิตยุคสมัยใหม่

that has no reason to exist anymore,

ที่ไม่มีเหตุผลที่ต้องมีอยู่อีกต่อไป

considering technological possibilities of today,

เมื่อพิจารณาความเป็นไปได้ทาง เทคโนโลยีในปัจจุบัน

คือ เขาวงกตของระบบราชการ

is the labyrinth of bureaucracy.

We've almost got rid of it completely in Estonia,

เราได้ทำลายมันเกือบหมดในประเทศเอสโตเนีย

in an effort coordinated by the government that has also digitized itself.

ในความพยายามร่วมมือโดยราชการที่ทำ ตัวเองให้เป็นดิจิทัล

For instance, cabinet of ministers' work in e-Cabinet is absolutely paperless.

ตัวอย่างเช่น งานของคณะรัฐมนตรีในรูปของ คณะรัฐมนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่มีการใช้กระดาษเลย

The central idea behind this development

แนวคิดศูนย์กลางเบื้องหลังของการพัฒนานี้

is transformation of the state role

คือการเปลี่ยนบทบาทของรัฐ

และสร้างความเชื่อถือทางดิจิทัล

and digitalization of trust.

Think about it.

ลองคิดดู

In most countries, people don't trust their governments.

ในประเทศส่วนใหญ่ คนไม่เชื่อรัฐบาลของตน

And the governments don't trust them back.

และรัฐบาลก็ไม่เชื่อประชาชนของตน

And all the complicated paper-based formal procedures

และกระบวนการวุ่นวายที่ใช้กระดาษทั้งหมด

are supposed to solve that problem.

มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหานั้น

Except that they don't.

เว้นแต่ว่า มันไม่ช่วย

มันกลับทำให้ชีวิตซับซ้อนมากขึ้น

They just make life more complicated.

I believe Estonian experience is showing that technology can be the remedy

ฉันเชื่อว่าประสบการณ์ของเอสโตเนียได้แสดงว่า เทคโนโลยีสามารถเยียวยา

for getting the trust back,

และนำความน่าเชื่อถือกลับมา

while creating an efficient,

ในขณะเดียวกันก็สร้างความมีประสิทธิภาพ

user-centric service delivery system

ระบบการให้บริการ โดยผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง

that actively responds to citizens' needs.

ซึ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนจริง ๆ

We did not do it by digitizing bureaucracy as it is.

เราไม่ได้ทำมันโดยการทำให้ ระบบราชการเป็นดิจิทัล

But by rather agreeing on a few strong, common principles,

แต่เป็นการตกลงร่วมกันในหลักการพื้นฐาน

redesigning rules and procedures,

การออกแบบกฎและกระบวนการใหม่

getting rid of unnecessary data collection

จากกำจัดการเก็บข้อมูลโดยไม่จำเป็น

and task duplication,

และการทำงานซ้ำซ้อน

and becoming open and transparent.

รวมทั้งทำให้เปิดเผยและโปร่งใส

Let me give you a glimpse

วันนี้ ฉันขอแสดงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของ

into some of the key e-Estonia design principles today.

หลักการสำคัญในการออกแบบ ระบบ อี-เอสโตเนีย บางข้อ

First, it is essential to guarantee privacy and confidentiality

ประการแรก มันจำเป็นต้องประกัน ความเป็นส่วนตัวและความลับ

of data and information.

ของข้อมูลและสารสนเทศ

สิ่งนี้สำเร็จผ่านการระบุตัวตนทาง ดิจิทัลที่แข็งแกร่ง

This is achieved through a strong digital identity

that is issued by the state

ที่ออกให้โดยรัฐ

and compatible with everything.

และใช้ได้กับทุกเรื่อง

In fact, every Estonian has one.

และชาวเอสโตเนียทุกคนมี

The identity is doubled with a strong digital signature

และการระบุตัวตนจะควบคู่กับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่แข็งแกร่ง

that is accepted, used and legally binding

เป็นที่ยอมรับ ถูกใช้ และมีผลผูกพันทางกฎหมาย

both in Estonia and the European Union.

ทั้งในเอสโตเนีย และสหภาพยุโรป

When the system can properly and securely identify who is using it,

เมื่อระบบสามารถระบุบุคคลที่ใช้ได้ อย่างถูกต้องและปลอดภัย

after logging in, it will provide access to the personal data of the citizen

ภายหลังจากการล็อคอิน ก็จะเข้าถึงข้อมูล ส่วนบุคคลของประชาชน

และการบริการของรัฐภายใน เครื่องมือเดียว

and all the public services within one tool,

and allow to authorize anything by signing digitally.

และยินยอมให้ดำเนินการใด ๆ โดย ลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์

A second principle, and one of the most transformative,

ประการที่สอง และเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง มากที่สุด

is called "Once only."

เรียกว่า "ครั้งเดียวเท่านั้น (Once only)"

It means that the state cannot ask for the same data

มันหมายถึงว่า รัฐจะไม่เรียกข้อมูลเดียวกัน

more than once,

เกินกว่า 1 ครั้ง

nor can store it in more than one place.

รวมทั้งจะไม่จัดเก็บข้อมูลดังกล่าว เกินกว่าหนึ่งที่

For instance,

ยกตัวอย่าง

if you've already provided your birth or marital certificate

หากคุณได้ให้สูติบัตรและ ทะเบียนสมรส

to the population registry,

แก่ฝ่ายทะเบียนราษฎร์แล้ว

this is the only place where this data is going to be held.

นั่นเป็นที่เดียวที่ข้อมูลดังกล่าว จะถูกจัดเก็บไว้

And no other institution will be ever asking for it again.

และจะไม่มีหน่วยงานอื่นใดร้องขอมันอีก

Once only is a very powerful rule,

หลักการ ครั้งเดียวเท่านั้น เป็นหลักการ ที่มีอำนาจมาก

as it defines the whole structure of the data collection in a country,

เพราะมันระบุโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล ทั้งหมดของประเทศ

what information is collected

ข้อมูลอะไรบ้างที่จัดเก็บ

and who is responsible for maintaining it,

และใครเป็นผู้รับผิดชอบในการเก็บรักษามัน

making sure we avoid centralization of data,

ทำให้เราแน่ใจในการหลีกเลี่ยง การรวมศูนย์ข้อมูล

duplication of data,

การสร้างข้อมูลที่ซ้ำซ้อน

and guarantee that it's actually up to date.

และรับประกันว่าข้อมูลจะเป็นปัจจุบัน

This distributed approach also avoids the problem

แนวทางการกระจายเช่นนี้ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหา

of the single point of failure.

กรณีที่จุดใดจุดหนึ่งมีความผิดพลาด

But since the data cannot be replicated,

แต่เพราะข้อมูลไม่สามารถถูกทำซ้ำ

or collected more than once,

หรือจัดเก็บเกินกว่า 1 ครั้ง

it means that the design has to keep in mind

มันหมายถึงการออกแบบจะต้อง คำนึงถึง

secure and robust access to that information at all times,

ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูลอย่างมาก ตลอดเวลา

so the public institution can offer a service.

เพื่อว่า หน่วยงานของรัฐจะสามารถ ให้บริการได้

This is exactly the role of the data exchange platform

นี่คือบทบาทที่แท้จริงของแพลตฟอร์ม การแลกเปลี่ยนข้อมูล

called the X-Road

ที่ถูกเรียกว่า X-Road

that has been in use since 2001.

ที่ถูกใช้ตั้งแต่ปี 2001

Just like a highway,

เหมือนกับทางด่วน

it connects public sector databases and registries,

มันเชื่อมโยงข้อมูลและการจดทะเบียน ของหน่วยงานของรัฐ

local municipalities and businesses,

เทศบาลท้องถิ่น และธุรกิจ

organizing a real-time, secure and regulated data exchange,

จัดระเบียบแบบเรียลไทม์ ปลอดภัย และกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูล

saving an auditable trace after each move.

รักษาการติดตามตรวจสอบได้ ทุก ๆ ความเคลื่อนไหว

Here's a screenshot of a live feed

นี่คือหน้าจอการป้อนข้อมูลสด

showing all the requests performed on the X-Road

ที่แสดงถึงการเรียกร้องการดำเนินการ บน X-Road

และทุกบริการที่มันให้บริการ

and all the services that it actually facilitates.

And this is the real picture

และนี่คือภาพจริง

of all the connections between public and private sector databases.

ของการเชื่อมต่อทั้งหมด ระหว่างข้อมูล ภาครัฐและภาคเอกชน

และอย่างที่คุณเห็น

As you can see,

there is no central database whatsoever.

ไม่มีการรวมศูนย์ข้อมูลใดๆ

Confidentiality and privacy are definitely very important.

การรักษาความลับและข้อมูลส่วนบุคคล เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

But in the digital world,

แต่ในโลกดิจิทัล

reliability and integrity of information

ความน่าเชื่อถือและความครบถ้วนของข้อมูล

is just critical for operations.

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินงาน

For instance,

ตัวอย่างเช่น

if someone changes your medical health record,

หากมีใครแก้ไขข้อมูล การรักษาพยาบาล

let's say allergies,

อย่างเช่น การแพ้

without you or your doctor knowing,

โดยคุณหรือหมอของคุณไม่ทราบ

treatment could be deadly.

การรักษาก็อาจเป็นอันตรายได้

That's why in a digital society, a system like an Estonian one,

นั่นคือเหตุผลที่สังคมดิจิทัล ระบบอย่างเช่นระบบของเอสโตเนีย

when there's almost no paper originals,

ที่ซึ่งแทบจะไม่มีต้นฉบับกระดาษ

there's almost only digital originals,

และเกือบจะมีแต่ต้นฉบับดิจิทัล

integrity of data,

ความครบถ้วนของข้อมูล

data exchange rules, software components

กฎการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์

and log files is paramount.

และบันทึกการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

We use a form of blockchain that we invented back in 2007,

พวกเราใช้รูปแบบของบล็อคเชน ที่พวกเราคิดค้นในปี 2007

way before blockchain even became a thing,

ก่อนที่บล็อคเชนจะเป็นรูปเป็นร่าง

to check and guarantee the integrity of data in real time.

เพื่อตรวจสอบและรับรองความครบถ้วน ของข้อมูลแบบเรียลไทม์

Blockchain is our auditor

บล็อคเชนเป็นผู้ตรวจสอบของเรา

and a promise that no access to the data

และคำมั่นว่าจะไม่มีการเข้าถึงข้อมูล

or data manipulation remains unrecorded.

หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้

Data ownership is another key principle in the design of the system.

ความเป็นเจ้าของข้อมูลเป็นอีกหลักการสำคัญ ในการออกแบบระบบ

Aren't you worried by the fact that governments, tech companies

คุณไม่กังวลหรือ ในข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาล บริษัทเทคโนโลยี

and other businesses around the world

และธุรกิจอื่น ๆ ทั่วโลก

claim data they've collected about you is theirs,

อ้างว่าข้อมูลของคุณที่เขาจัดเก็บ เป็นของพวกเขา

generally refuse to give access to that information,

และโดยทั่วไปจะปฏิเสธการเข้าถึงข้อมูลนั้น

and often fail to prove how it was used

และมักจะพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันถูกใช้

หรือแชร์กับบุคคลภายนอกอย่างไร ?

or shared with third parties?

I don't know, for me it seems like a quite disturbing situation.

ฉันไม่ทราบ แต่สำหรับฉันมันเป็น เรื่องที่รบกวนจิตใจพอสมควร

The Estonian system is based on the principle

ระบบของเอสโตเนียวางอยู่บน หลักการที่ว่า

that an individual is the owner of the data collected about him,

บุคคลเป็นเจ้าของข้อมูลที่เกี่ยวกับเขา ที่ถูกจัดเก็บไว้

thus has an absolute right to know what information is collected

ดังนั้น จึงมีสิทธิโดยสมบูรณ์ในการรู้ว่า ข้อมูลอะไรที่ถูกจัดเก็บ

and who has been accessing it.

และใครเข้าถึงมันบ้าง

Every time a policeman, a doctor or any state officer

ทุกครั้งที่ตำรวจ หมอ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ

is accessing personal information of the citizens online,

เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน ผ่านทางออนไลน์

first they only get to access it after logging in

ประการแรก พวกเขาจะเข้าถึงได้ ภายหลังล็อคอิน

to the information they're authorized to see to do their job.

เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เขามีสิทธิดูเพื่อทำงาน

And secondly, every time they're making requests,

และประการที่สอง ทุกครั้งที่พวกเขา ร้องขอ

this is saved in a log file.

มันจะถูกบันทึกไว้ในบันทึกการเปลี่ยนแปลง

This detailed log file is part of the state public services

รายละเอียดของบันทึกนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของบริการของรัฐ

และทำให้เกิดความโปร่งใสอย่างแท้จริง

and allows real transparency,

making sure no privacy violation will remain unnoticed to the citizen.

ทำให้แน่ใจได้ว่า จะไม่มีการละเมิด ความเป็นส่วนตัวใดที่ประชาชนไม่ทราบ

Now, of course, this is only a simplified summary

แน่นอน นี่เป็นตัวอย่างง่าย ๆ

of all the design principles that e-Estonia is built on.

ของหลักการทั้งหมดที่ อี เอสโตเนีย ถูกสร้างขึ้น

And now, government is building up

และตอนนี้ รัฐบาลกำลังเตรียมตัว

to get ready for use of artificial intelligence

ให้พร้อมสำหรับการใช้ปัญญาประดิษฐ์

and building a whole new generation of public services --

และสร้างการบริการสาธารณะรุ่นใหม่ทั้งหมด

proactive services

การให้บริการเชิงรุก

that would activate seamlessly

ที่จะทำงานไม่รู้จักหยุด

based on different life situations that people might be in,

บนฐานของสถานการณ์ในชีวิตของประชาชน ที่แตกต่างกัน

such as childbirth, unemployment or starting a business.

เช่น การเกิด การว่างงาน หรือการเริ่มธุรกิจ

Now, of course,

แน่นอน

running a digital society with no paper backup

การขับเคลื่อนสังคมดิจิทัล ที่ไม่มีการใช้กระดาษสนับสนุน

can be an issue, right?

อาจเป็นประเด็นใช่ไหม ?

Even though we trust our systems to be solid,

ถึงแม้เราเชื่อว่าระบบของเราแข็งแกร่ง

but one can never be too cautious as we experienced back in 2007,

แต่ก็ไม่เป็นการระวังมากเกินไป เพราะเรามี ประสบการณ์ในปี 2007

when the first cyberincident happened,

เมื่อเกิดเหตุทางไซเบอร์ครั้งแรก

and it literally blocked part of our networks,

และมันระงับบางส่วนของระบบเน็ตเวิร์คของเรา

making access to the services impossible for hours.

ทำให้การเข้าถึงบริการไปไม่ได้หลายชั่วโมง

We survived.

เรารอดมาได้

But this event put cybersecurity at the very top of agenda,

แต่เหตุการณ์นั้น ทำให้ความปลอดภัย ทางไซเบอร์เป็นวาระสำคัญ

both in terms of strengthening the platform and backing it up.

ทั้งในเรื่องการทำให้แพลตฟอร์มแข็งแกร่ง และการสำรองข้อมูลไว้

So how do you back up a country-wide system in a small state

แล้วคุณจะทำการสำรองข้อมูลระบบระดับชาติใน รัฐเล็ก ๆ

where everything is super close?

ที่ทุกสิ่งอยู่ใกล้ชิดกันมากอย่างไร ?

Well for instance, you can export a copy of the data

ตัวอย่างเช่น คุณอาจส่งสำเนาข้อมูล

outside the country territory

ออกนอกประเทศ

to an extraterritorial space of an embassy.

ไปที่เขตคุ้มครองของสถานทูต

Today, we have those data embassies

วันนี้ เรามีสถานทูตที่เก็บข้อมูล

that are holding the most critical digital assets of Estonia,

ซึ่งจัดเก็บทรัพย์สินดิจิทัลของเอสโตเนีย

guaranteeing continuity of operations,

เพื่อประกันความต่อเนื่องในการดำเนินงาน

protection of our data,

ปกป้องข้อมูลของเรา

and most importantly, our sovereignty.

และที่สำคัญ เอกราชของเรา

Even in case of a physical attack on our territory.

แม้กระทั้งในกรณีการโจมตีทางกายภาพ ต่อพรมแดนของเรา

คุณบางคนอาจคิดอยู่ตอนนี้

Some of you might be thinking by now:

มันมีข้อเสียบ้างไหม?

Where are the downsides?

การดำเนินการทุกอย่างเป็นดิจิทัล

Well, going all digital

is administratively, and let's be honest, financially more efficient.

เป็นเรื่องทางการบริหาร และหากว่ากันตามความเป็นจริง มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจมากกว่า

Interfacing primarily with computer systems

การมีปฏิสัมพันธ์กับระบบคอมพิวเตอร์

might create an impression that the human factor,

น่าจะทำให้เกิดภาพว่า ปัจจัยด้านมนุษย์

elected politicians

อย่างนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง

and participating in democratic processes

และการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย

กลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญน้อยลง

is somehow less important.

และมีบางคน

And there are also some people

who feel threatened by pervasive technology

ที่รู้สึกถูกคุกคามจากการขยายตัว ของเทคโนโลยี

that might make their skills obsolete.

ซึ่งอาจทำให้ทักษะของพวกเขาล้าสมัย

So all in all, unfortunately,

ดังนั้น โดยรวมแล้ว เป็นความโชคร้าย

running a country on a digital platform

ที่การทำให้ประเทศไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล

has not saved us from political power struggles

ไม่ได้ทำให้เราปลอดภัยจากการแย่ง อำนาจทางการเมือง

and polarization in the society,

และการแยกขั้วอำนาจในสังคม

as we have seen in the last elections.

อย่างที่เราเห็นในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

Well, until there are humans involved.

ตราบเท่าที่มีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง

One last question.

คำถามสุดท้าย

If everything is location-independent

ถ้าทุกสิ่งตั้งอยู่อย่างเป็นอิสระจากกัน

and I can access all of the services from anywhere in the world,

และเราสามารถเข้าถึงการบริการได้ทุกที่ในโลก

why cannot others tap into some of these services,

ทำไมคนอื่นไม่สามารถเข้าถึงบางบริการได้

even if they don't reside within Estonian borders?

แม้ว่าตัวเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในเอสโตเนีย?

Five years ago,

5 ปีก่อน

we launched a governmental start-up called e-Residency program

เราเริ่มให้บริการสตาร์ทอัพภาครัฐ ที่เรียกว่าโปรแกรม e-Residency

that for today joins tens of thousands of people.

ซึ่งในปัจจุบันมีคนนับหมื่นเข้าร่วมด้วย

These are businessmen and women from 136 different countries,

พวกเขาเป็นนักธุรกิจชายและหญิง จาก 136 ประเทศ

who establish their businesses digitally,

ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัล

who do their banking online,

ซึ่งทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์

and who run their companies virtually over e-Estonia platform,

และซึ่งดำเนินธุรกิจในระบบเสมือน ผ่านแพลตฟอร์ม e-Estonia

within European Union legal framework,

ภายใต้ กรอบกฎหมายของสหภาพยุโรป

using an e-identity card similar to mine

โดยใช้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ เหมือนกับของฉัน

and all of that from anywhere in the world.

และทุกคนมาจากรอบโลก

The Estonian system is location-independent

ระบบของเอสโตเนียตั้งอยู่อย่างเป็นอิสระ

and user-centric.

และมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง

It prioritizes inclusiveness, openness and reliability.

โดยให้ความสำคัญสูงสุด ด้านความครอบคลุม การเปิดกว้าง และความน่าเชื่อถือ

It puts security and transparency at its center.

มันวางเรื่องความปลอดภัยและความโปร่งใส ให้เป็นศูนย์กลาง

And the data into the hands of the rightful owner,

และทำให้ข้อมูลอยู่ในมือเจ้าของที่มีสิทธิ

the person they refer to.

ซึ่งก็คือ บุคคลที่ข้อมูลเหล่านี้อ้างถึง

Don't take my word for it.

ไม่ต้องเชื่อฉัน

Try it.

ลองดูซิ

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)