Technology that knows what you're feeling | Poppy Crum

Translator: yamela areesamarn Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut

What happens when technology knows more about us than we do?

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเทคโนโลยี รู้เรื่องของเรามากกว่าตัวเราเอง

A computer now can detect our slightest facial microexpressions

ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์สามารถตรวจจับ การแสดงออกทางใบหน้าแม้เพียงเล็กน้อยได้

and be able to tell the difference between a real smile and a fake one.

และสามารถบอกความแตกต่างระหว่าง รอยยิ้มที่จริงใจและเสแสร้าง

That's only the beginning.

นั่นเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

Technology has become incredibly intelligent

เทคโนโลยีมีความเฉลียวฉลาดอย่างเหลือเชื่อ

and already knows a lot about our internal states.

และรู้เรื่องมากมาย เกี่ยวกับความในใจของเรา

And whether we like it or not,

และไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม

we already are sharing parts of our inner lives

เราได้แสดงออกบางสิ่ง จากส่วนในของตัวตนของเรา

that's out of our control.

ที่เหนือการควบคุมของเราออกไปแล้ว

That seems like a problem,

นั่นดูเหมือนกับจะเป็นปัญหา

because a lot of us like to keep what's going on inside

เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่ ต้องการที่จะเก็บสิ่งที่อยู่ในเอาไว้

from what people actually see.

ไม่ให้คนอื่นได้เห็น

We want to have agency over what we share and what we don't.

เราต้องการอำนาจควบคุม สิ่งที่เราต้องการหรือไม่ต้องการแสดงออก

We all like to have a poker face.

เราทุกคนชอบที่จะทำหน้าตาย

But I'm here to tell you that I think that's a thing of the past.

แต่ฉันมาที่นี่เพื่อจะบอกคุณว่า นั่นเป็นเรื่องในอดีต

And while that might sound scary, it's not necessarily a bad thing.

แม้ว่านั้นอาจจะฟังดูน่ากลัว แต่มันก็อาจจะไม่ได้แย่เสมอไป

I've spent a lot of time studying the circuits in the brain

ฉันได้ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับวงจรในสมอง

that create the unique perceptual realities that we each have.

ที่สร้างการรับรู้ความจริงที่เป็นเอกลักษณ์ ในพวกเราแต่ละคน

And now I bring that together

และฉันได้นำมันมารวมเข้ากับ

with the capabilities of current technology

ความสามารถของเทคโนโลยีในปัจจุบัน

to create new technology that does make us better,

เพื่อสร้างเทคโนโยโลยีใหม่ ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดีขึ้น

feel more, connect more.

รู้สึกได้มากขึ้น และเข้าถึงกันได้มากขึ้น

And I believe to do that,

และฉันก็เชื่อว่าหากเราจะทำสิ่งนั้น

we have to be OK losing some of our agency.

พวกเราต้องเห็นด้วย กับการสูญเสียการควบคุมของเราไปบ้าง

With some animals, it's really amazing,

มันน่าทึ่งมากสำหรับสัตว์บางชนิด

and we get to see into their internal experiences.

เรามีโอกาสได้เรียนรู้ สิ่งที่อยู่ในใจของพวกมัน

We get this upfront look at the mechanistic interaction

เราได้เห็นปฏิสัมพันธ์เชิงกล

between how they respond to the world around them

ระหว่างการตอบสนองต่อโลกภายนอกของพวกมัน

and the state of their biological systems.

และสภาวะของระบบทางชีวภาพของมันโดยตรง

This is where evolutionary pressures like eating, mating

นี่คือแรงกดดันทางวิวัฒนาการ เช่น การกิน การผสมพันธุ์

and making sure we don't get eaten

และการยืนยันให้แน่ใจว่าเราจะไม่ถูกกิน

drive deterministic behavioral responses to information in the world.

ที่ขับเคลื่อนการตอบสนองเชิงพฤติกรรม แบบแน่นอนต่อสิ่งแวดล้อม

And we get to see into this window,

และเราก็มีโอกาสได้มองผ่านหน้าต่าง

into their internal states and their biological experiences.

เข้าไปในจิตใจ และประสบการณ์เชิงชีวภาพของพวกมัน

It's really pretty cool.

มันยอดเยี่ยมมากจริง ๆ

Now, stay with me for a moment -- I'm a violinist, not a singer.

ทีนี้ ขอเวลาตรงนี้สักครู่นะคะ ฉันเป็นนักไวโอลิน ไม่ใช่นักร้อง

But the spider's already given me a critical review.

แต่แมงมุมตัวนั้นได้ให้คำวิจารณ์กับฉันแล้วค่ะ

(Video) (Singing in a low pitch)

(วีดีโอ) (ร้องเพลงในระดับเสียงตํ่า)

(Singing in a middle pitch)

(ร้องเพลงในระดับเสียงกลาง)

(Singing in a high pitch)

(ร้องเพลงในระดับเสียงสูง)

(Singing in a low pitch)

(ร้องในระดับเสียงตํ่า)

(Singing in a middle pitch)

(ร้องในระดับเสียงกลาง)

(Singing in a high pitch)

(ร้องในระดับเสียงสูง)

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Poppy Crum: It turns out, some spiders tune their webs like violins

ป๊อปปี้ ครัม: จะเห็นว่าแมงมุมบางชนิด ปรับเส้นใยของมันเหมือนไวโอลิน

to resonate with certain sounds.

เพื่อให้สั่นพ้องไปกับเสียงบางเสียง

And likely, the harmonics of my voice as it went higher

และดูเหมือนว่า เมื่อทำนองจากเสียงของฉันสูงขึ้น

coupled with how loud I was singing

กอปรกับความดังของเสียงร้อง

recreated either the predatory call of an echolocating bat or a bird,

มันคล้ายกับเสียงร้องจากนักล่าอย่างค้างคาว หรือนกที่ใช้การสะท้อนเพื่อหาตำแหน่ง

and the spider did what it should.

แล้วแมงมุมก็ทำสิ่งที่มันควรจะทำ

It predictively told me to bug off.

อย่างที่คาดไว้ มันบอกฉันว่าไปให้พ้น

I love this.

น่าประทับใจมาก

The spider's responding to its external world

การตอบสนองของแมมมุม ต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกของมัน

in a way that we get to see and know what's happening to its internal world.

ในแบบที่เราได้เห็น และรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในใจของมัน

Biology is controlling the spider's response;

ชีววิทยากำลังควบคุม การตอบสนองของแมงมุม

it's wearing its internal state on its sleeve.

มันกำลังแสดงความในใจของมัน ออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง

But us, humans --

แต่พวกเราที่เป็นมนุษย์

we're different.

เราแตกต่างออกไป

We like to think we have cognitive control over what people see, know and understand

เรามักคิดว่า เรามีอำนาจควบคุมการรับรู้ เหนือสิ่งที่คนเห็น รู้ และเข้าใจ

about our internal states --

ความในใจของเรา อันได้แก่

our emotions, our insecurities, our bluffs, our trials and tribulations --

อารมณ์ ความไม่มั่นใจ การเสแสร้งตบตา ความพยายามตรากตรำ

and how we respond.

และวิธีการตอบสนองของเรา

We get to have our poker face.

เราต้องแสร้งทำหน้าตาย

Or maybe we don't.

หรืออาจจะไม่

Try this with me.

มาลองทดสอบกันนะคะ

Your eye responds to how hard your brain is working.

ตาของคุณจะแสดงให้เห็นว่า สมองของคุณกำลังทำงานหนักแค่ไหน

The response you're about to see is driven entirely by mental effort

การตอบสนองที่คุณกำลังจะได้เห็น ถูกกำกับด้วยจิตใจล้วน ๆ

and has nothing to do with changes in lighting.

โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการเปลี่ยนแปลงของแสง

We know this from neuroscience.

วิชาประสาทวิทยาบอกไว้อย่างนั้น

I promise, your eyes are doing the same thing as the subject in our lab,

ฉันยืนยันได้ว่า ดวงตาคุณกำลังเหมือนกับ ดวงตาของผู้ทดสอบในห้องทดลอง

whether you want them to or not.

ไม่ว่าคุณจะต้องการเช่นนั้นหรือไม่

At first, you'll hear some voices.

ตอนแรกคุณจะได้ยินเสียง

Try and understand them and keep watching the eye in front of you.

พยายามฟังและทำความเข้าใจ และลองจ้องดูดวงตานั้นดี ๆ นะคะ

It's going to be hard at first,

ตอนแรกอาจจะสังเกตยากหน่อย

one should drop out, and it should get really easy.

พอเสียงหนึ่งหายไป มันก็จะง่ายขึ้น

You're going to see the change in effort in the diameter of the pupil.

คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ของเส้นผ่านศูนย์กลางของม่านตา

(Video) (Two overlapping voices talking)

(วีดีโอ) (เสียงสองเสียงกำลังพูดทับกัน)

(Single voice) Intelligent technology depends on personal data.

(เสียงเดี่ยว) เทคโนโลยีอัจฉริยะ ขึ้นอยู่กับข้อมูลส่วนตัว

(Two overlapping voices talking)

(เสียงสองเสียงกำลังพูดทับกัน)

(Single voice) Intelligent technology depends on personal data.

(เสียงเดี่ยว) เทคโนโลยีอัจฉริยะ ขึ้นอยู่กับข้อมูลส่วนตัว

PC: Your pupil doesn't lie.

ป๊อปปี้: ม่านตาของคุณโกหกไม่ได้

Your eye gives away your poker face.

ดวงตาของคุณเปิดโปงคุณเสียแล้ว

When your brain's having to work harder,

เมื่อสมองของคุณต้องทำงานหนักขึ้น

your autonomic nervous system drives your pupil to dilate.

ระบบประสาทอัตโนมัติของคุณ กระตุ้นให้ม่านตาของคุณขยายออก

When it's not, it contracts.

เมื่อมันไม่ต้องทำงานหนัก ม่านตาก็จะหด

When I take away one of the voices,

เมื่อฉันเอาเสียงหนึ่งออกไป

the cognitive effort to understand the talkers

ความพยายามในการรับรู้ เพื่อทำความเข้าใจการพูดคุยนั้น

gets a lot easier.

ก็จะง่ายขึ้นมาก

I could have put the two voices in different spatial locations,

ฉันอาจจัดวางเสียงทั้งสองนั้น ในพิกัดที่ต่างออกไป

I could have made one louder.

ฉันอาจจะทำให้เสียงหนึ่งดังกว่า

You would have seen the same thing.

คุณก็จะเห็นผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

We might think we have more agency over the reveal of our internal state

คุณอาจจะคิดว่า เรามีอำนาจควบคุม การเปิดเผยความในใจของเรา

than that spider,

มากกว่าแมงมุมตัวนั้น

but maybe we don't.

แต่บางที มันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น

Today's technology is starting to make it really easy

เทคโนโลยีในปัจจุบัน กำลังทำให้การมองเห็นสัญญาณ

to see the signals and tells that give us away.

และการบ่งบอกความในใจ เป็นเรื่องง่ายมาก ๆ

The amalgamation of sensors paired with machine learning

การผสานรวมกันตัวรับสัมผัส กับการเรียนรู้ของสมองกล

on us, around us and in our environments,

เกี่ยวกับตัวเรา สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา และในสภาพแวดล้อมของเรา

is a lot more than cameras and microphones tracking our external actions.

เป็นมากยิ่งกว่ากล้องและไมโครโฟน ที่ติดตามการกระทำของเราที่แสดงออกมา

Our bodies radiate our stories

ร่างกายของเราถ่ายทอดเรื่องราวออกมา

from changes in the temperature of our physiology.

ผ่านการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ของสรีระของเรา

We can look at these as infrared thermal images

เราสามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ด้วย ภาพจากกล้องตรวจจับความร้อน

showing up behind me,

ที่แสดงอยู่ด้านหลังฉัน

where reds are hotter and blues are cooler.

โดยสีแดงจะร้อนกว่า และสีนํ้าเงินจะเย็นกว่า

The dynamic signature of our thermal response

การเปลี่ยนแปลงที่มีเอกลักษณ์จำเพาะ ของการตอบสนองเชิงอุณหภูมิของเรา

gives away our changes in stress,

เผยถึงการเปลี่ยนแปลงของความเครียด

how hard our brain is working,

ระดับการทำงานของสมอง

whether we're paying attention

สมาธิความสนใจของเรา

and engaged in the conversation we might be having

และการจดจ่อกับการสนทนานั้น ๆ

and even whether we're experiencing a picture of fire as if it were real.

หรือแม้กระทั่งว่า ความรู้สึกของเราต่อภาพไฟ ที่เหมือนว่ามันเป็นไฟจริง ๆ

We can actually see people give off heat on their cheeks

เราสามารถเห็นความร้อน ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากแก้มของพวกเขา

in response to an image of flame.

เป็นการตอบสนองต่อภาพของเปลวไฟ

But aside from giving away our poker bluffs,

แต่นอกเหนือจากการเปิดโปง การเสแสร้งทำหน้าตายของเราแล้ว

what if dimensions of data from someone's thermal response

จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าข้อมูลต่าง ๆ จากการตอบสนองเชิงอุณหภูมิของใครสักคน

gave away a glow of interpersonal interest?

เผยให้เห็นถึงความสนใจระหว่างบุคคล ที่กำลังก่อตัวขึ้น

Tracking the honesty of feelings in someone's thermal image

การติดตามข้อเท็จจริงของความรู้สึก จากภาพอุณหภูมิของใครสักคน

might be a new part of how we fall in love and see attraction.

อาจเป็นสิ่งที่ใหม่ของการตกหลุมรัก และการได้ความสนใจของเรา

Our technology can listen, develop insights and make predictions

เทคนิคของเราสามารถฟัง รับรู้ และคาดคะเน

about our mental and physical health

เกี่ยวกับสภาวะทางใจและกายของเราได้

just by analyzing the timing dynamics of our speech and language

โดยการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของจังหวะ การพูดและการใช้ภาษาของเรา

picked up by microphones.

ที่ถูกบันทึกโดยไมโครโฟน

Groups have shown that changes in the statistics of our language

กลุ่มต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าสถิติที่มี การเปลี่ยนแปลงในการใช้ภาษาของเรา

paired with machine learning

เทียบกับการเรียนรู้ของสมองกล

can predict the likelihood someone will develop psychosis.

สามารถคาดการณ์ความเป็นไปได้ ที่ใครสักคนจะเป็นโรคจิต

I'm going to take it a step further

ฉันจะลองไปให้ไกลขึ้นอีกขั้น

and look at linguistic changes and changes in our voice

โดยพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทางภาษา และนํ้าเสียงของเรา

that show up with a lot of different conditions.

ที่แสดงให้เห็นในสภาวะต่าง ๆ

Dementia, diabetes can alter the spectral coloration of our voice.

โรคสมองเสื่อม เบาหวาน สามารถเปลี่ยน ลักษณะนํ้าเสียงของเราได้

Changes in our language associated with Alzheimer's

การใช้ภาษาที่เปลี่ยนไป ที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์นั้น

can sometimes show up more than 10 years before clinical diagnosis.

บางครั้งอาจแสดงออกมาให้เห็นได้ มากกว่า 10 ปี ก่อนมีการวินิจฉัยของแพทย์

What we say and how we say it tells a much richer story

สิ่งที่เราพูดและวิธีการที่เราพูด บอกเรื่องราวอีกมากมาย

than we used to think.

เกินกว่าที่เราเคยคิดกัน

And devices we already have in our homes could, if we let them,

และถ้าเราใช้อุปกรณ์ที่เรามีอยู่แล้ว ในบ้านของเรา

give us invaluable insight back.

มันก็จะทำให้เราเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นอีก

The chemical composition of our breath

องค์ประกอบทางเคมีของลมหายใจของเรานั้น

gives away our feelings.

เผยถึงความรู้สึกของเรา

There's a dynamic mixture of acetone, isoprene and carbon dioxide

ส่วนผสมระหว่างอะซิโตน ไอโซพรีน และคาร์บอนไดออกไซด์ ที่แตกต่างกัน

that changes when our heart speeds up, when our muscles tense,

เปลี่ยนแปลงเมื่อหัวใจของเรา เต้นเร็วขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อเราเกร็ง

and all without any obvious change in our behaviors.

แต่เราสังเกตการเปลี่ยนแปลง ของพฤติกรรมของเราได้ยากยิ่ง

Alright, I want you to watch this clip with me.

เอาล่ะค่ะ ฉันอยากให้คุณดูคลิปวีดีโอนี้ ไปพร้อมกับฉัน

Some things might be going on on the side screens,

อาจมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นบนฉากด้านข้าง

but try and focus on the image in the front

แต่ลองพยายามให้ความสนใจกับภาพตรงหน้า

and the man at the window.

และผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าต่างนะคะ

(Eerie music)

(เสียงเพลงที่ชวนให้ขนลุก)

(Woman screams)

(เสียงผู้หญิงกรีดร้อง)

PC: Sorry about that. I needed to get a reaction.

ป็อบปี้: ขอโทษด้วยนะคะ ฉันต้องการปฏิกริยาตอบสนอง

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

I'm actually tracking the carbon dioxide you exhale in the room right now.

จริง ๆ แล้ว ฉันตรวจจับคาร์บอนไดออกไซด์ ที่คุณหายใจออกมาในห้องในขณะนี้

We've installed tubes throughout the theater,

เราได้ติดตั้งท่อไว้โดยรอบห้องบรรยายนี้

lower to the ground, because CO2 is heavier than air.

โดยพวกมันในระดับพื้นเพราะ คาร์บอนไดออกไซด์หนักกว่าอากาศ

But they're connected to a device in the back

แต่พวกมันเชื่อมอยู่กับอุปกรณ์ทางด้านหลัง

that lets us measure, in real time, with high precision,

ที่ทำให้เราสามารถวัดความเข้มข้น ของคาร์บอนไดออกไซด์

the continuous differential concentration of CO2.

ที่แตกต่างกันได้อย่างต่อเนื่อง ณ เวลานั้น ๆ ด้วยความแม่นยำสูง

The clouds on the sides are actually the real-time data visualization

กลุ่มหมอกตรงด้านข้างนั้น คือการแสดงข้อมูล ณ เวลานั้น

of the density of our CO2.

ของความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของเรา

You might still see a patch of red on the screen,

คุณอาจยังคงเห็นจุดที่สีแดงอยู่บนจอ

because we're showing increases with larger colored clouds,

เพราะว่าเรากำลังแสดงการเพิ่ม ด้วยหมอกที่เป็นสีที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

larger colored areas of red.

พื้นที่สีแดงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

And that's the point where a lot of us jumped.

และนั่นเป็นวินาทีที่พวกเราหลาย ๆ คนสะดุ้ง

It's our collective suspense driving a change in carbon dioxide.

ความกระวนกระวายใจที่เพิ่มพูนขึ้นที่กระตุ้น การเปลี่ยนแปลงของคาร์บอนไดออกไซด์

Alright, now, watch this with me one more time.

เอาล่ะค่ะ ทีนี้มาดูพร้อมกันอีกสักครั้ง

(Cheerful music)

(เพลงที่รื่นเริงใจ)

(Woman laughs)

(ผู้หญิงหัวเราะ)

PC: You knew it was coming.

ป็อปปี้: คุณรู้ว่ามันกำลังมา

But it's a lot different when we changed the creator's intent.

แต่มันแตกต่างกันมาก เมื่อเราเปลี่ยน ให้ต่างจากความตั้งใจดั้งเดิมของผู้สร้าง

Changing the music and the sound effects

การเปลี่ยนเสียงดนตรีและเสียงประกอบนั้น

completely alter the emotional impact of that scene.

ปรับเปลี่ยนผลกระทบต่ออารมณ์ ของเหตุการณ์ไปอย่างสิ้นเชิง

And we can see it in our breath.

และเราก็สามารถสังเกตได้จากลมหายใจของเรา

Suspense, fear, joy

ความหวั่นวิตก ความกลัว และความสุข

all show up as reproducible, visually identifiable moments.

ทั้งหมดถูกเผยออกมาในแต่ละวินาที อย่างที่เห็นได้ชัดซ้ำแล้วซ้ำอีก

We broadcast a chemical signature of our emotions.

เรากระจายสัญญาณทางเคมี ของอารมณ์ของเราออกไป

It is the end of the poker face.

ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของการทำหน้าตาย

Our spaces, our technology will know what we're feeling.

สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีของเรา จะรู้ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร

We will know more about each other than we ever have.

เราจะรู้จักกันและกันมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคย

We get a chance to reach in and connect to the experience and sentiments

เรามีโอกาสได้เอื้อมเข้าไปและสัมผัส กับประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิด

that are fundamental to us as humans

นั่นคือพื้นฐานของเราในฐานะมนุษย์

in our senses, emotionally and socially.

ในความรู้สึกนึกคิดของเรา ทั้งด้านอารมณ์และด้านสังคม

I believe it is the era of the empath.

ฉันเชื่อว่ามันจะเป็นยุคของความเข้าอกเข้าใจ

And we are enabling the capabilities that true technological partners can bring

เราเสริมศักยภาพให้กับ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยี

to how we connect with each other and with our technology.

ไปจนถึงการเชื่อมเข้าหากันและกัน และเชื่อมเข้ากับเทคโนโลยีของเรา

If we recognize the power of becoming technological empaths,

ถ้าเราเห็นความสำคัญของศักยภาพ จากความเข้าอกเข้าใจในเชิงเทคโนโลยี

we get this opportunity

เราก็ได้โอกาสนี้

where technology can help us bridge the emotional and cognitive divide.

ที่เทคโนโลยีจะช่วยเราเชื่อมประสาน อารมณ์และการรับรู้ที่เคยแยกจากกัน

And in that way, we get to change how we tell our stories.

ด้วยวิธีการนั้น การเล่าเรื่องของเราก็จะเปลี่ยนไป

We can enable a better future for technologies like augmented reality

ทำจะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่าในอนาคต อย่างเช่น การผสมโลกเสมือน

to extend our own agency and connect us at a much deeper level.

เพื่อขยายความสามารถและ การสานสัมพันธ์ของเราในระดับที่ลึกลงไป

Imagine a high school counselor being able to realize

ลองนึกถึงการที่ผู้บริหารโรงเรียน สามารถรับรู้ได้ว่า

that an outwardly cheery student really was having a deeply hard time,

นักเรียนที่ภายนอกดูร่าเริงชื่นบาน แท้จริงแล้วกำลังลึก ๆ กำลังมีปัญหาหนัก

where reaching out can make a crucial, positive difference.

และการยื่นมือเข้าช่วยจะทำให้เกิด ความแตกต่างเชิงบวกที่สำคัญยิ่งได้

Or authorities, being able to know the difference

หรือการที่ผู้มีหน้าที่ดูแล สามารถรู้ได้ถึงความแตกต่าง

between someone having a mental health crisis

ระหว่างคนที่กำลัง มีปัญหาสุขภาพจิตขั้นวิกฤติ

and a different type of aggression,

กับความก้าวร้าวแบบต่าง ๆ

and responding accordingly.

และมีการตอบสนองกลับไปเช่นนั้น

Or an artist, knowing the direct impact of their work.

หรือศิลปินที่สามารถล่วงรู้ได้ ถึงผลกระทบโดยตรงจากงานของเขา

Leo Tolstoy defined his perspective of art

ลีโอ ตอลสตอย ให้คำจำกัดความ ถึงมุมมองด้านศิลปะของเขาว่า

by whether what the creator intended

ไม่ว่าความตั้งใจของผู้สร้างจะเป็นเช่นไร

was experienced by the person on the other end.

มันจะถูกเสพโดยผู้ที่อยู่ปลายทาง

Today's artists can know what we're feeling.

ศิลปินในปัจจุบันสามารถรับรู้ได้ ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร

But regardless of whether it's art or human connection,

แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศิลปะ หรือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ก็ตาม

today's technologies will know and can know

เทคโนโลยีในปัจจุบันจะรู้และสามารถรู้ได้ว่า

what we're experiencing on the other side,

เรากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่

and this means we can be closer and more authentic.

ซึ่งหมายถึง เราจะใกล้ชิดกันมากขึ้น และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

But I realize a lot of us have a really hard time

แต่ฉันก็ตระหนักดีว่า พวกเราหลายคน ก็รู้สึกไม่สบายใจ

with the idea of sharing our data,

กับแนวคิดเรื่องการแบ่งปันข้อมูลของเรา

and especially the idea that people know things about us

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวคิด ที่จะให้คนอื่นรู้เรื่องเกี่ยวกับเรา

that we didn't actively choose to share.

ในเรื่องที่เราไม่เคยอยากจะแบ่งปัน

Anytime we talk to someone,

เมื่อใดที่เราคุยกับใครสักคน

look at someone

มองดูใครสักคน

or choose not to look,

หรือเลือกที่จะไม่มองใครสักคน

data is exchanged, given away,

ข้อมูลจะถูกแลกเปลี่ยนกัน ถูกส่งออกไป

that people use to learn,

คนอื่นจะนำข้อมูลนั้นไปใช้

make decisions about their lives and about ours.

เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา และของพวกเรา

I'm not looking to create a world where our inner lives are ripped open

ฉันไม่ได้อยากจะสร้างโลก ที่ชีวิตส่วนตัวของเราคลีออกมาหมดเปลือก

and our personal data and our privacy given away

และข้อมูลส่วนกับความลับส่วนตัวของเรา ถูกเปิดเผยออกไปหมด

to people and entities where we don't want to see it go.

ให้กับคนอื่นและหน่วยงาน ที่เราไม่อยากให้ข้อมูลนั้น

But I am looking to create a world

แต่ฉันหวังที่จะสร้างโลก

where we can care about each other more effectively,

ที่เราสามารถเอาใจใส่ซึ่งกันและกันได้ อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

we can know more about when someone is feeling something

เราจะเข้าใจได้มากขึ้นว่า เมื่อใดที่ใครกำลังรู้สึกอะไรบางอย่าง

that we ought to pay attention to.

ที่เราควรจะใส่ใจ

And we can have richer experiences from our technology.

และเราจะมีประสบการณ์มากขึ้น จากเทคโนโลยีของเรา

Any technology can be used for good or bad.

เทคโนโลยีหนึ่ง ๆ อาจถูกนำไปใช้ ในทางที่ดีหรือไม่ก็ได้

Transparency to engagement and effective regulation

ความโปร่งใสในทางปฏิบัติ และกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพ

are absolutely critical to building the trust for any of this.

มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการสร้างความเชื่อมั่นสำหรับสิ่งเหล่านี้

But the benefits that "empathetic technology" can bring to our lives

แต่ประโยชน์ที่ "เทคโนโลยีในการเข้าอกเข้าใจ" สามารถให้กับเราได้นั้น

are worth solving the problems that make us uncomfortable.

คู่ควรแล้วกับการแก้ปัญหา ที่สร้างความไม่สบายใจให้กับเรา

And if we don't, there are too many opportunities and feelings

และถ้าหากว่าเราไม่ใช้มันแล้วล่ะก็ เราก็จะพลาดโอกาสที่จะได้สัมผัส

we're going to be missing out on.

กับประสบการณ์และความรู้สึกอีกมากมาย

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)