Language around gender and identity evolves (and always has) | Archie Crowley

Transcriber:

Translator: Chawanrat Sukhuwit Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

I am a linguist.

ฉันเป็นนักภาษาศาสตร์

Linguists study language.

นักภาษาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับภาษา

And we do this in a lot of different ways.

และนักภาษาศาสตร์แต่ละคน ก็มีวิธีการแตกต่างกันออกไป

Some linguists study how we pronounce certain sounds.

บางคนศึกษาเกี่ยวกับการออกเสียง

Others look at how we build sentences.

บางคนศึกษาเกี่ยวกับการสร้างประโยค

And some study how language varies from place to place,

บางคนอาจจะศึกษาเกี่ยวกับ ความแตกต่างของภาษาในแต่ละพื้นที่

just to name a few.

และอีกมากมาย

But what I'm really interested in

แต่สิ่งที่ฉันสนใจมากก็คือ

is what people think and believe about language

ความคิดและความเชื่อของคนเราเกี่ยวกับภาษา

and how these beliefs affect the way we use it.

ส่งผลต่อการใช้ภาษาของเราอย่างไรบ้าง

All of us have deeply held beliefs about language

เราทุกคนมีความเชื่อบางอย่าง ที่ฝังลึกเกี่ยวกับภาษา

such as the belief that some languages are more beautiful than others

อย่างเช่น เชื่อว่าบางภาษา มีความไพเราะกว่าภาษาอื่น

or that some ways of using language are more correct.

หรือวิธีการใช้ภาษาบางแบบถูกต้องกว่าแบบอื่น

And as most linguists know,

และอย่างที่นักภาษาศาสตร์หลายคนรู้

these beliefs are often less about language itself

ว่าความเชื่อพวกนั้นมักจะไม่ได้เกี่ยวข้อง กับตัวภาษาเองเท่าไหร่

and more about what we believe about the social world around us.

แต่มันเชื่อมโยงกับความเชื่อที่เราแต่ละคนมี เกี่ยวกับสังคมรอบตัวเราต่างหาก

So I’m a linguist,

ฉันเป็นนักภาษาศาสตร์

and I'm also a nonbinary person,

และเป็นนอนไบนารีด้วย

which means I don't identify as a man or a woman.

หมายความว่าฉันไม่ได้นับตัวเอง ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

I also identify as a member of a broader transgender community.

และจัดตัวเองอยู่ในกลุ่มทรานส์ ซึ่งเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้นมาอีกด้วยเช่นกัน

When I first started getting connected to other transgender people,

ตอนที่ฉันได้เริ่มรู้จัก กับผู้คนจากกลุ่มทรานส์

it was like learning a whole new language

มันเหมือนฉันกำลังเรียนรู้ภาษาใหม่ อีกภาษาหนึ่งเลย

and the linguist part of me was really excited.

และจิตวิญญาณนักภาษาศาสตร์ในตัวฉัน ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก

There was a whole new way of talking about my relationship with myself

ฉันได้พบกับวิธีสื่อสารใหม่ เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับตัวฉันเอง

and a new clear way to communicate that to other people.

รวมถึงวิธีสื่อสารเรื่องนี้กับคนอื่นๆ ในรูปใหม่ที่ชัดเจนมากขึ้น

And then I started having conversations with my friends and family

จากนั้นฉันก็ได้เริ่มพูดคุย กับเพื่อนๆ และครอบครัว

about what it meant for me to be trans and nonbinary,

เกี่ยวกับการที่ฉันเป็นทรานส์และนอนไบนารี ว่ามันสำคัญกับฉันอย่างไร

what those words meant to me specifically,

สองคำนี้มีความสำคัญเฉพาะกับฉันอย่างไร

and why I would use both of them.

และทำไมฉันถึงเลือกที่จะใช้ทั้งสองคำ

I also clarified the correct words they could use when referring to me.

รวมถึงอธิบายถึงสรรพนามที่ถูกต้อง ที๋ฉันอยากให้พวกเขาใช้เวลาพูดถึงฉัน

For some of them, this meant some very specific changes.

สำหรับบางคนแล้ว สิ่งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลง ที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงมาก

For example, some of my friends

อย่างเช่น เพื่อนบางคนของฉัน

who are used to talking about our friend group as “ladies” or “girls”

ที่ชินกับการพูดถึงเพื่อนในกลุ่มว่า “สาวๆ” หรือ “พวกเธอ”

switched to nongendered terms like “friends” or “pals.”

ก็เปลี่ยนไปใช้คำที่ไม่ระบุเพศ อย่าง “เพื่อนๆ” หรือ “เกลอ”

And my parents can now tell people that their three kids are their son,

ส่วนพ่อแม่ของฉันก็บอกคนอื่นๆ ได้แล้วว่า พวกเขามีลูกสามคนคือ ลูกชาย

their daughter and their child.

ลูกสาว และลูกอีกคน

And all of them would have to switch the pronouns they used to refer to me.

และทุกคนก็ต้องเปลี่ยน สรรพนามที่เคยใช้พูดถึงฉัน

My correct pronouns are “they” and “them,”

สรรพนามที่ถูกต้องของฉันคือ “they” และ “them”

also known as the singular they.

หรือที่เรียกว่า they เอกพจน์

And these people love me,

พวกเขารักฉัน

but many of them told me that some of these language changes

แต่หลายคนก็บอกว่า การต้องเปลี่ยนภาษาที่ใช้แบบนี้

were too hard or too confusing

มันยากเกินไป สับสนเกินไป

or too ungrammatical for them to pick up.

หรือไม่ก็รู้สึกขัดกับหลักไวยากรณ์เกินไป

These responses led me to the focus of my research.

คำพูดเหล่านี้นำมาสู่ เรื่องสำคัญในงานวิจัยของฉันที่ว่า

There are commonly held,

คนจำนวนมากมีความเชื่อเกี่ยวกับภาษา

yet harmful and incorrect beliefs about language

ในแบบที่ผิดและส่งผลอันตราย

that for the people who hold these beliefs,

เพราะกลุ่มคนที่มีความเชื่อแบบนั้น

act as barriers to building and strengthening relationships

จะคอยขัดขวางการสร้างและกระชับความสัมพันธ์

with the transgender people in their families and communities,

ระหว่างคนที่เป็นทรานส์ กับครอบครัวและสังคมของพวกเขา

even if they want to do so.

ขณะที่พวกเขากำลังพยายาม

Today, I'm going to walk you through some of these beliefs

วันนี้ฉันจะพาทุกคนไปดู บางส่วนของความเชื่อเหล่านี้กัน

in the hope that we can embrace creativity in our language

โดยหวังว่าพวกเราจะโอบกอด ความสร้างสรรค์ทางภาษานี้

and allow language to bring us closer together.

เพื่อให้มันพาเรามาใกล้ชิดกันมากขึ้น

You might see your own beliefs reflected in these experiences in some way,

คุณอาจพบความเชื่อของตัวคุณเอง สะท้อนอยู่ในเรื่องเหล่านี้ในทางใดทางหนึ่ง

but no matter what,

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

I hope that I can share with you some linguistic insights

ฉันก็หวังว่าจะได้แบ่งปัน ความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับภาษา

that you can put into your back pocket

ที่คุณสามารถเก็บใส่กระเป๋าเป้

and take with you out into the world.

แล้วพกติดตัวไปด้วยทุกที่บนโลกนี้

And I just want to be super clear.

และฉันก็บอกได้เลยว่า

This can be fun.

มันเป็นเรื่องที่สนุก

Learning about language brings me joy,

การเรียนรู้เรื่องภาษาทำให้ฉันมีความสุข

and I hope that it can bring you more joy too.

และฉันก็หวังว่ามันจะ ทำให้คุณมีความสุขด้วยเหมือนกัน

So do you remember how I said that for some of my friends and family

จำได้ไหมตอนที่ฉันบอกว่า สำหรับเพื่อนและคนในครอบครัวของฉันบางคนแล้ว

learning how to use the singular they was really hard,

การเรียนรู้คำใหม่ที่ใช้เรียกฉัน มันค่อนข้างยาก

and they said it was too confusing or too ungrammatical for them to pick up.

พวกเขาบอกว่ามันสับสน หรือไม่ก็รู้สึกขัดกับไวยากรณ์เกินไป

Well, this brings us to the first belief about language that people have.

และนี่ก็คือความเชื่อแรก ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับภาษา

Grammar rules don't change.

ไวยากรณ์เปลี่ยนแปลงไม่ได้

As a linguist, I see this belief a lot out in the world.

ในฐานะนักภาษาศาสตร์ ฉันเจอความเชื่อนี้มาบ่อยครั้งมาก

A lot of language users believe that grammar just is what it is.

ผู้ใช้ภาษามากมายเชื่อว่า ไวยากรณ์เป็นสิ่งที่ตายตัว

When it comes to language,

เวลาพูดถึงภาษา

what's grammatical is what matters.

ไวยากรณ์ที่ถูกต้องคือเรื่องสำคัญ

You can't change it.

และเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

I want to tell you a story about English in the 1600s.

ฉันขอเล่าเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง เกี่ยวกับภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 16

Back then, as you might imagine,

ในยุคนั้น คุณอาจจะพอเดาได้ว่า

people spoke differently than we do today.

ภาษาที่ใช้พูดกันนั้นแตกต่างจากทุกวันนี้

In particular, they used "thou" when addressing a single other person,

โดยเฉพาะการใช้คำว่า “thou” เวลาเรียกคน 1 คน

and "you" when addressing more than one other person,

และใช้คำว่า “you” เวลาเรียกคนหลายๆ คน

But for some complex historical reasons

ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน

that we don't have time to get into today,

ที่เราคงไม่มีเวลามาพูดถึงในวันนี้

so you'll just have to trust me as a linguist here,

ดังนั้นคุณจึงทำได้แค่เชื่อฉัน ในฐานะนักภาษาศาสตร์

but people started using "you" to address someone,

ผู้คนเริ่มหันมาใช้ “you” ในการเรียกคนอื่น

regardless of how many people they were talking to.

ที่พวกเขากำลังคุยอยู่ด้วย ไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม

And people had a lot to say about this.

และเรื่องนี้ก็มีการพูดถึงมากมาย

Take a look at what this guy, Thomas Elwood, had to say.

ลองดูสิ่งที่ โทมัส เอลวู้ด บอกเอาไว้

He wrote,

เขาเขียนไว้ว่า

"The corrupt and unsound form of speaking in the plural number

“รูปแบบการพูดที่ชั่วช้าและเสื่อมเสีย อย่างการใช้คำพหูพจน์

to a single person,

ในการเรียกคนหนึ่งคน

‘you’ to one instead of ‘thou,’

‘you’ สำหรับ 1 คนแทนที่จะเป็น ‘thou’

contrary to the pure, plain and single language of truth,

ซึ่งขัดกับหลักภาษาที่แท้จริง เพียงหนึ่งเดียว อันบริสุทธิ์และเรียบง่าย

‘thou’ to one and ‘you’ to more than one.”

‘thou’ สำหรับ 1 และ ‘you’ เมื่อมากกว่า 1”

And he goes on.

และเขาก็ไม่ได้จบแค่นี้

Needless to say,

ไม่ต้องบอกเลยว่า

this change in pronouns was a big deal in the 1600s.

การเปลี่ยนแปลงการใช้สรรพนาม เป็นเรื่องใหญ่โตมากในศตวรรษที่ 16

But actually, if you followed the debates about the singular they at all,

แต่ถ้าคุณเคยติดตามการถกเถียง เรื่องการใช้ they เอกพจน์ล่ะก็

these arguments might sound familiar to you.

คุณอาจรู้สึกคุ้นๆ กับการโต้แย้งในลักษณะนี้

They're not that far off from the bickering we hear

ซึ่งไม่ได้ต่างจาก เรื่องที่เรากำลังเผชิญอยู่เท่าไรนัก

about the so-called grammaticality of pronouns

เกี่ยวกับความถูกต้องไวยากรณ์ของคำสรรพนาม

used to talk about trans and nonbinary people.

ที่ใช้เรียกบุคคลทรานส์และนอนไบนารี

One of the most common complaints about the singular they

หนึ่งในเรื่องที่คนบ่นกันมากที่สุด เกี่ยวกับ they เอกพจน์ก็คือ

is that if "they" is used to refer to people in the plural,

ถ้าคำว่า “they” ใช้เรียกผู้คน ในรูปพหูพจน์ไปแล้ว

it can't also be used to talk about people in the singular,

มันก็ต้องใช้เรียกผู้คน ในรูปเอกพจน์ไม่ได้

which is exactly what they said about “thou” and “you.”

ซึ่งเหมือนกับเรื่อง “thou” และ “you” ในอดีตไม่มีผิด

But as we have seen, pronouns have changed.

แต่อย่างที่เราได้เห็นกันไปแล้ว ว่าสรรพนามมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

Our grammar rules do change

ไวยากรณ์เปลี่ยนแปลงได้

and for a lot of different reasons.

ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันมากมาย

And we're living through one of these shifts right now.

และเราทุกคนก็กำลังอยู่ใน ช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบนั้นเช่นกัน

All living languages will continue to change,

ทุกภาษาที่ยังมีชีวิต จะไม่หยุดเปลี่ยนแปลง

and the Thomas Elwoods of the world

และ โทมัส เอลวู้ด คนนั้น

will eventually have to get with the program

สุดท้ายก็จะต้องยอมรับมัน

because hundreds of years later,

เพราะหลายร้อยปีถัดจากตอนนั้น

it's considered right to use "you" when addressing another person.

การใช้ “you” เรียกคนอื่น ได้กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

Not just allowable, but right.

ไม่ใช่แค่การอนุโลม แต่เป็นความถูกต้อง

The second belief about language that people have

ความเชื่อที่สองที่ผู้คนมีเกี่ยวกับภาษา

is that dictionaries provide official, unchanging definitions for words.

คือความหมายของคำต่างๆ ในพจนานุกรมนั้น ถูกกำหนดมาเป็นทางการและเปลี่ยนแปลงไม่ได้

When you were in school,

ตอนอยู่ที่โรงเรียน

did you ever start an essay with a sentence like,

คุณเคยขึ้นต้นเรียงความด้วยประโยคแบบนี้ไหม

"The dictionary defines history as ..."

“พจนานุกรมได้นิยามประวัติศาสตร์ไว้ว่า...”

Well, if you did, which dictionary were you talking about?

ถ้าคุณบอกว่าเคยทำแบบนั้น คุณกำลังหมายถึงพจนานุกรมเล่มไหนล่ะ

Was it the Oxford English Dictionary?

พจนานุกรมภาษาอังกฤษของ Oxford

Was it Merriam Webster?

หรือว่า Merriam Webster

Was it Urban Dictionary?

หรือว่า Urban Dictionary

Did you even have a particular dictionary in mind?

คุณมีชื่อพจนานุกรมในใจบ้างหรือเปล่า

Which one of these is “the dictionary?”

“พจนานุกรม” เล่มไหนล่ะที่คุณหมายถึง

Dictionaries are often thought of as the authority on language.

พจนานุกรมมักถูกมอง เป็นต้นตำรับทางภาษา

But dictionaries, in fact, are changing all the time.

แต่ที่จริงแล้วพจนานุกรมนั้น มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

And here's where our minds are really blown.

จุดนี้แหละที่ทำให้เราทุกคนประหลาดใจ

Dictionaries don't provide a single definition for words.

พจนานุกรมไม่ได้เป็นสิ่งที่ กำหนดคำนิยามของคำแต่ละคำ

Dictionaries are living documents

พจนานุกรมคือข้อมูลบันทึกที่มีชีวิต

that track how some people are using language.

ที่คอยติดตามการใช้ภาษาของผู้คน

Language doesn't originate in dictionaries.

ภาษาไม่ได้เกิดขึ้นจากพจนานุกรม

Language originates with people

แต่เกิดขึ้นจากผู้คน

and dictionaries are the documents that chronicle that language use.

และพจนานุกรมก็คือสิ่งที่คอย บันทึกการใช้ภาษาที่เกิดขึ้นนั้น

Here's one example.

ลองมาดูตัวอย่างนี้กัน

We currently use the word "awful"

ทุกวันนี้เราใช้คำว่า “awful”

to talk about something that is bad or gross.

เพื่อหมายความถึงสิ่งที่เลวร้าย หรือน่าสะอิดสะเอียน

But before the 19th century, "awful" meant just the opposite.

แต่ในยุคก่อนศตวรรษที่ 19 นั้น “awful” เคยหมายถึงสิ่งที่ตรงข้ามกันเลย

People used "awful" to talk about something

คำว่า “awful” ถูกใช้หมายถึงสิ่งที่

that was deserving of respect

เป็นที่น่าเคารพนับถือ

or full of awe.

หรือน่าเกรงขาม

And in the mid-1900s,

และในช่วงกลางศตวรรษที่ 19

"awesome" was the word that took up these positive meanings

คำว่า “awesome” ก็ได้เอาความหมายแง่บวกทั้งหมดนั้นไป

and "awful" switched to the negative one we have today.

และ “awful” ก็กลายเป็นความหมายแง่ลบ แบบที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้

And dictionaries over time reflected that.

ซึ่งทั้งหมดถูกสะท้อนออกมา ในพจนานุกรมที่เปลี่ยนแปลงไป

This is just one example of how definitions and meanings

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียว เกี่ยวกับคำนิยามและความหมายของคำ

have changed over time.

ที่ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

And to keep up with it, how dictionaries are updated all the time.

ซึ่งพจนานุกรมก็ได้ทำหน้าที่ของมัน ด้วยการปรับให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

So I hope you're starting to feel a little more comfortable

หวังว่าคุณจะเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง

with the idea of changing language.

กับแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางภาษา

But of course, I'm not just talking about language in general.

แต่แน่นอนว่าฉันไม่ได้กำลัง พูดถึงภาษาในกรณีทั่วไป

I'm talking about language as it is impactful for trans people.

ฉันกำลังพูดถึงภาษา ในส่วนที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มทรานส์

And pronouns are only one part of language,

และคำสรรพนามก็เป็นแค่ ส่วนเดียวของภาษาเท่านั้นเอง

and they're only one part of language that's important for trans people.

ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญกับ ผู้คนในกลุ่มทรานส์

Also important are the identity terms

เช่นเดียวกับคำที่ใช้ระบุตัวตน

that trans people use to talk about ourselves,

ที่คนกลุ่มทรานส์ใช้พูดถึงตัวเอง

such as trans man, trans woman, nonbinary or gender queer.

อย่างเช่น ผู้ชายข้ามเพศ ผู้หญิงข้ามเพศ นอนไบนารี หรือเควียร์

And some of these words have been documented in dictionaries

และคำเหล่านี้บางคำ ก็ถูกบันทึกไว้ในพจนานุกรม

for decades now

มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

and others are still being added year after year.

และยังมีคำใหม่ๆ ถูกเพิ่มเข้าไปในแต่ละปี

And that's because dictionaries are working to keep up with us,

นั่นคือพจนานุกรมกำลังทำหน้าที่ของมัน เพื่อที่จะตามเราให้ทัน

the people who are using language creatively.

เราผู้มีความสร้างสรรค์ในการใช้ภาษา

So at this point, you might be thinking,

มาถึงจุดนี้คุณอาจกำลังคิดว่า

"But Archie, it seems like every trans person has a different word

“แต่อาร์ชี ฉันรู้สึกเหมือนว่า ทรานส์แต่ละคนมีคำที่อยากให้คนอื่นใช้เรียก

they want me to use for them.

ที่ไม่เหมือนกันเลย

There are so many opportunities for me to mess up or to look ignorant

ทำให้ฉันมีโอกาสเรียกผิดเรียกถูก หรือดูไม่ใส่ใจ

or to hurt someone's feelings.

หรือเผลอไปทำร้ายความรู้สึกพวกเขา

What is something I can memorize

ฉันควรจะใช้วิธีไหนในการจำ

and reliably employ when talking to the trans people in my life?"

ที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าฉันจะใช้คำได้ถูกต้อง เวลาคุยกับคนที่ฉันรู้จักที่เป็นทรานส์ล่ะ”

Well, that brings us to the third belief about language that people have.

และนั่นก็นำมาสู่ความเชื่อที่สาม ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับภาษา

You can't just make up words.

ว่าเราคิดคำขึ้นมาเองไม่ได้

Folks, people do this all the time.

ทุกคน นี่คือสิ่งที่เรากันอยู่ตลอดเวลา

Here's one of my favorite examples.

นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่ฉันชอบมาก

The "official" term for your mother's mother

คำ “ทางการ” ที่ใช้เรียกแม่ของแม่

or your father's mother is grandmother.

หรือแม่ของพ่อ ก็คือ grandmother

I recently polled my friends

ฉันเพิ่งไปสำรวจความเห็นเพื่อนๆ มา

and asked them what they call their grandmothers.

โดยถามว่าพวกเขาเรียกแม่ของพ่อ หรือแม่ของแม่ตัวเองว่าอะไร

We don't get frustrated if your friend's grandma goes by Meemaw

เราไม่ว่าอะไรอยู่แล้วถ้าเพื่อนจะเรียกย่า หรือยายของตัวเองว่า Meemaw

and yours goes by Gigi.

ในขณะที่ที่บ้านคุณเรียก Gigi

We just make rather short work of it

เราแค่ใช้คำเรียกสั้นๆ

and memorize it and move on getting to know her.

จดจำ และทำความรู้จักกับท่าน

In fact, we might even celebrate her by gifting her with a sweatshirt

ในความเป็นจริงเราอาจทำได้กระทั่ง ให้ของขวัญท่านเป็นเสื้อกันหนาว

or an embroidered pillow that celebrates the name she has chosen for herself.

หรือหมอนที่ปักลายเป็นชื่อที่ท่านเลือกเอง

And just like your Nana and your grandma,

ในทางเดียวกันกับ Nana หรือ grandma ของคุณ

trans people have every right to choose their own identifying language.

ทรานส์ทุกคนก็มีสิทธิ์เลือกภาษา ที่ใช้ระบุถึงตัวเอง

The process of determining self-identifying language

กระบวนการกำหนดภาษาที่ใช้ระบุตัวตนนั้น

is crucial for trans people.

สำคัญมากต่อคนกลุ่มทรานส์

In my research,

ในงานวิจัยของฉัน

many trans people have shared that finding new vocabulary

ทรานส์หลายคนได้แบ่งปันว่า การค้นพบคำเรียกใหม่

was an important part of understanding their own identities.

มีส่วนสำคัญต่อการทำความเข้าใจ ในตัวตนของพวกเขาเอง

As one person I interviewed put it,

อย่างที่คนหนึ่งที่ฉันได้สัมภาษณ์บอกว่า

"Language is one of the most important personal things

“ภาษาเป็นหนึ่งในเรื่องส่วนตัว ที่สำคัญที่สุด

because using different words to describe myself

เพราะการใช้คำที่ต่างกัน ในการอธิบายถึงตัวเอง

and then finding something that feels good, feels right,

การค้นหาคำที่รู้สึกว่าดี รู้สึกว่าใช่

is a very introspective and important process.

เป็นขั้นตอนที่ลึกซึ้งและสำคัญมากๆ

With that process you can piece together,

และเป็นขั้นตอนที่ช่วยให้เราสามารถหาคำตอบ

with the language that you find out works best for you,

ผ่านภาษาที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด

who am I?"

ว่าตัวตนของเรานั้นคืออะไร”

Sometimes the words that feel good are already out there.

บางครั้งคำที่เราตามหามันก็ไม่ได้อยู่ไหนไกล

For me, the words trans and nonbinary just feel right.

สำหรับฉันแล้ว คำว่าทรานส์และนอนไบนารี เป็นคำที่ฉันโอเคด้วยมากที่สุด

But sometimes the common lexicon doesn’t yet hold

แต่บางครั้ง ในหมู่คำเรียกที่เราคุ้นเคย

the words that a person needs to feel properly understood.

ก็ยังไม่มีคำไหนเหมาะสมเพียงพอ ที่จะใช้กับคนบางคนได้

And it's necessary and exciting to get to create and redefine words

มันจึงเป็นความจำเป็นและน่าตื่นเต้นมากๆ ในการสร้างและกำหนดคำนิยามใหม่

that better reflect our experience of gender.

ที่สื่อความเข้าใจในเพศของเราได้ดียิ่งขึ้น

So this is a very long answer, but, yes,

เป็นคำตอบที่ยาวมาก แต่สรุปก็คือ

I'm absolutely going to give you a magic word,

ฉันจะมอบคำวิเศษให้คุณหนึ่งคำ

something really easy you can memorize.

ซึ่งมันง่ายมากและคุณจะต้องจำได้แน่ๆ

And I want you to think of this word

และฉันอยากให้คุณมองคำนี้

as the biggest piece of advice I could give you

เป็นคำแนะนำชิ้นสำคัญที่สุด ที่ฉันจะมอบให้คุณได้

if you don't know what words to use for the trans people in your life.

ถ้าเกิดว่าคุณไม่รู้จะใช้คำไหน เรียกคนรู้จักที่เป็นทรานส์ล่ะก็

Ask.

ถามสิ

I might be a linguist and a trans person

ถึงฉันจะเป็นทั้งนักภาษาศาสตร์และทรานส์

and a linguist who works with trans people,

และนักภาษาศาสตร์ ที่ทำงานกับคนกลุ่มทรานส์ด้วย

but I'm no substitute for the actual trans people in your life

แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของ ทรานส์คนไหนในชีวิตคุณ

when it comes to what words to use for them.

ที่คุณจะเอาไปเทียบภาษาที่ใช้ด้วยได้

And you're more likely to hurt someone's feelings by not asking

และคุณก็เพิ่มโอกาสทำร้ายจิตใจใครบางคน เพียงเพราะคุณไม่ถาม

or assuming

หรือคุณคิดเอาเอง

than you are by asking.

มากกว่าการที่คุณแค่ถามออกไป

And the words that a person uses might change.

และคำที่คนคนหนึ่งเลือกใช้ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้

So just commit to asking and learning.

ดังนั้นขอให้ถามและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

Language is a powerful tool

ภาษาเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง

for explaining and claiming our own identities

ในการใช้อธิบายและยืนยันสิทธิ์ในตัวตนของเรา

and for building relationships that affirm and support us.

รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ ที่ช่วยรับรองและสนับสนุนเรา

But language is just that, a tool.

แต่ภาษาก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ

Language works for us,

เครื่องมือที่ช่วยทำหน้าที่ให้เรา

not the other way around.

ไม่ใช่เราทำหน้าที่ให้มัน

All of us, transgender and cisgender

เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนที่ มีเพศตรงหรือไม่ตรงกับเพศโดยกำเนิด

can use language to understand ourselves

สามารถใช้ภาษามาช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง

and to respect those around us.

และช่วยให้เคารพคนอื่นๆ รอบตัวด้วย

We're not bound by what words have meant before,

เราไม่ได้ผูกติดอยู่กับความหมายเดิมของคำ

what order they might have come in

ลำดับการเกิดขึ้นมาของคำนั้น

or what rules we have been taught.

หรือกฎการใช้ต่างๆ ที่เราเคยถูกสอนมา

We can consider the beliefs that we might have had

เราอาจพิจารณาถึงความเชื่อที่เราอาจเคยมี

about how language works

เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของภาษา

and recognize that language will continue to change.

และระลึกไว้ว่า ภาษาจะยังคงเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป

And we can creatively use language

และเราก็สามารถปรับการใช้มันได้อย่างเสรี

to build the identities and relationships that bring us joy.

เพื่อสร้างตัวตนและความสัมพันธ์ ในแบบที่ทำให้เรามีความสุข

And that's not just allowable.

และนั่นก็ไม่ใช่แค่สิ่งที่ยอมรับได้

It's right.

แต่คือสิ่งที่ถูกต้อง

Believe me.

เชื่อฉันสิ