3 things new parents should consider before going back to work | The Way We Work, a TED series

Transcriber: TED Translators admin

Translator: Dollaya Piumsuwan Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

When I was pregnant, I just got very frustrated.

ตอนที่ฉันตั้งครรภ์ ฉันหงุดหงิดมาก

Don't eat deli meats, do this particular prenatal test.

ห้ามทานเนื้อสำเร็จรูป ไปตรวจครรภ์แบบนี้สิ

Why did you make that choice? Why didn't you make a different choice?

ทำไมคุณตัดสินใจแบบนั้น ทำไมไม่ตัดสินใจแบบนี้

ฉันรู้สึกเหมือนถูกสั่งให้ทำนู่นทำนี่ และไม่รู้ว่าทำไม

I felt like I was being told to do things, and I never got the answer to why.

[The Way We Work]

[วิถีที่เราทำงาน]

Sometimes in the world of modern parenting you just can't seem to win.

บางครั้งในโลกสมัยใหม่ของการเป็นพ่อแม่ เราเหมือนจะไม่มีทางชนะมันได้เลย

If I go back to work, I spend less time with my kid.

หากเรากลับไปทำงาน เราจะมีเวลากับลูกน้อยลง

What if they don't get the attention they need to adequately develop?

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาไม่ได้รับความสนใจ ที่ต้องการเพื่อการเติบโต

If I stay home and give up my income stream,

ถ้าฉันอยู่บ้านและหันหลัง ให้กับช่องทางรายได้

ฉันจะมองย้อนกลับมาเมื่อลูก ๆ โตแล้ว จะเสียใจไหม

will I look back and regret my decision?

There's a lot of conflicting advice out there

มีคำแนะนำที่ขัดแย้งกันเองมากมาย

about whether to stay home or go back to work,

ระหว่างการอยู่บ้าน หรือการกลับไปทำงาน

so trying to make a choice between the two can be confusing and emotional.

ดังนั้นการเลือกระหว่างสองสิ่งนี้ มักจะสับสนและสะเทือนอารมณ์

You love your kids and want what's best for them,

คุณรักลูก และต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา

but how do you determine what best means when everyone has a different opinion?

แต่คุณจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างกัน

There are many variations of parents that a household can have,

ครอบครัวสามารถมีพ่อแม่ได้หลายแบบ

and I think more families should be asking the question

ฉันคิดว่าแต่ละครอบครัว ต้องตั้งคำถาม

of whether it makes sense for the male partner to stay home.

ว่ามันสมเหตุสมผลไหมถ้าฝ่ายชาย จะอยู่บ้าน

But the truth is that in the current time,

แต่ในความเป็นจริงในปัจจุบัน

most of the discussions about stay-at-home parents

การพูดถึงการที่พ่อหรือแม่จะเป็นคนอยู่บ้าน

focus on women in particular.

มักมุ่งไปที่ผู้หญิงฝ่ายเดียว

And it's usually the women who say they feel

และมักจะเป็นผู้หญิงที่พูดว่า พวกเขารู้สึก

that what they do during the day is going to determine at a deep level

ว่าสิ่งที่พวกเขาทำในแต่ละวัน จะถูกนำไปตัดสินตัวตน

what kind of mom and person they are.

ว่าพวกเขาเป็นคนและเป็นแม่แบบไหน

That is a huge weight to put on yourself as a parent.

มันเป็นภาระอันหนักอึ้ง ที่คุณแบกไว้ในฐานะแม่

And when you're met with the side-eye

และเมื่อคนอื่นมองคุณด้วยหางตา

after telling someone you're going back to work or not,

ตอนที่คุณบอกว่ากำลัง จะการกลับไปทำงานหรือไม่นั้น

it can poke holes in your confidence.

มันทำลายความมั่นใจของคุณลงได้

ฉันเลยตัดสินใจ ที่จะค้นหาอย่างลึกซึ้งว่า

I decided to dig in and find out.

การอยู่บ้านหรือการกลับไปทำงาน แบบไหนจะดีกว่ากัน

Is it better to stay at home or go back to work?

It's an emotional decision, yes,

ใช่ค่ะ มันเป็นการตัดสินใจ ที่สะเทือนอารมณ์

but as an economist I've learned that we can use data

แต่ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ฉันเรียนรู้ว่าสามารถใช้ข้อมูล

to help navigate through those emotional decisions

เพื่อช่วยหาทางออกให้กับการตัดสินใจแบบนี้

and feel confident we're making the best decision for our family.

และช่วยให้เรามั่นใจว่าเราได้เลือก สิ่งที่ดีที่สุดให้กับครอบครัว

Specifically there are three main factors you should consider before you decide.

มี 3 ปัจจัยที่คุณต้องคำนึงถึง ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ

First, you need to think about

อย่างแรก คุณต้องคิดถึง

how this decision will affect your family budget.

ผลกระทบของการตัดสินใจ ต่อรายได้ของครอบครัว

Let's do some numbers.

เรามาดูตัวเลขกันค่ะ

Say your total household income is 100,000 dollars,

สมมติว่ารายได้ครัวเรือนคือ 100,000 ดอลลาร์ต่อปี

with you and your partner making 50,000 each.

โดยที่คุณและคู่สมรสมีรายได้ คนละ 50,000

That means you bring home about 85,000 dollars after taxes.

นั่นแปลว่าครอบครัวคุณมีรายได้ 85,000 ดอลลาร์หลังจากหักภาษีแล้ว

If both of you work

ถ้าคุณทั้งคู่ทำงาน

and the family pays 1,500 dollars a month for childcare,

และครอบครัวต้องจ่าย 1,500 ดอลลาร์ต่อเดือน เป็นค่าเลี้ยงเด็ก

your total disposable income would be 67,000 dollars a year.

คุณจะมีรายได้ที่จับจ่ายได้สุทธิ 67,000 ดอลลาร์ต่อปี

Are you with me so far?

คุณตามฉันทันไหมคะ

If you decide to stay home,

ถ้าคุณตัดสินใจอยู่บ้าน

your family makes less but you don't pay for childcare.

ครอบครัวของคุณจะมีรายได้ลดลง แต่ไม่ต้องจ่ายค่าดูแลเด็ก ๆ

ในกรณีนี้ รายได้ที่จับจ่ายได้จะลดลง

Your disposable income goes down in this scenario,

แต่ก็ไม่มากนักถ้าคุณไม่รวม ค่าเลี้ยงเด็ก

but not by as much as it would if you didn't factor in the childcare.

มันจะซับซ้อนกว่านี้ ถ้าค่าใช้จ่าย ในการเลี้ยงเด็กของคุณสูงกว่านี้

It becomes more complicated if childcare is more expensive in your area.

ค่าพี่เลี้ยงเด็กเต็มเวลาอาจจะสูงถึง 40,000 - 50,000 ดอลลาร์ต่อปี

A full-time nanny can run 40, 50,000 dollars a year

depending on where you live.

ขึ้นอยู่กับที่ที่คุณอยู่

If that's the case in your neighborhood, in the scenario I outlined,

ถ้านั่นคือกรณีของคุณในสถานการณ์ ที่ฉันยกตัวอย่าง

it would completely wipe out one parent's income,

มันจะกินรายได้ทั้งหมด ของพ่อหรือแม่คนเดียว

and you'd be better off financially with one parent staying home.

อาจจะดีกว่าในทางการเงิน หากคุณคนใดคนนึงอยู่บ้านดูแลลูก

Of course, this is only a short-term analysis.

แน่นอนว่า นี่เป็นการวิเคราะห์แบบระยะสั้น

Childcare is less expensive sometimes when kids are in school,

ค่าเลี้ยงเด็กอาจจะถูกลง เมื่อเด็ก ๆ ไปโรงเรียน

and you may make a higher income later, so you want to factor that in if you can.

และคุณอาจจะมีรายได้เพิ่มขึ้นหลังจากนั้น ดังนั้น คุณควรจะคิดถึงเรื่องนี้ด้วย

Once you've done the math, you'll know what's possible

หลังจากที่คำนวณเสร็จแล้ว คุณจะรู้ว่าอะไรที่เป็นไปได้

and you'll be able to make a more informed choice,

และจะสามารถตัดสินใจ ด้วยข้อมูลที่ดีกว่า

which should feel empowering.

ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกมีพลัง

Second, it's time to talk about what's best for your child.

สอง มันถึงเวลาแล้ว ที่จะพูดถึงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก ๆ

คุณอาจจะคิดว่านี่ควรจะเป็นหัวใจสำคัญ ในการตัดสินใจ

You may think this should be the core of your decision,

แต่คุณต้องรู้ว่า มันไม่มีคำตอบที่ถูกซะทีเดียว

but there's actually no right answer.

According to studies from Europe and the US,

จากการศึกษาในยุโรปและสหรัฐ

the decision to go back to work or stay at home

การตัดสินใจว่าจะอยู่บ้านหรือกลับไปทำงาน

won't actually make or break your child's future success.

ไม่ได้ส่งผลต่ออนาคตและความสำเร็จ ของลูกของคุณ

Research shows that two parents working full-time

งานวิจัยพบว่าพ่อแม่ที่ทำงานเต็มเวลา

has a similar effect on your child's future test scores and income

ส่งผลต่อคะแนนสอบและรายได้ของลูก ๆ

to one parent working and one not.

เหมือนกับพ่อแม่ที่คนนึงทำงานคนนึงอยู่บ้าน

What seems to be most important is the environment

สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด คือสภาพแวดล้อม

your child is in during their spare time.

รอบตัวลูกของคุณในยามว่างของพวกเขา

As long as they're engaging in enriching activities;

ตราบใดที่พวกเขาทำกิจกรรมที่มีคุณค่า

reading, practicing their motor skills, interacting with other kids,

อย่างการอ่านหนังสือ ฝึกการเคลื่อนไหว มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่น ๆ

they're going to thrive whether or not you're at home.

พวกเขาก็จะเจริญเติบโต ไม่ว่าคุณจะอยู่หรือไม่อยู่บ้านก็ตาม

There is a bit of nuance in the data.

มันมีความแตกต่างเล็กน้อย

For example, studies have found,

อย่างเช่น งานวิจัยพบว่า

that if both parents work,

ถ้าพ่อและแม่ทำงาน

kids from poorer families are impacted positively,

จะส่งผลดีกับเด็กจากครอบครัว ที่รายได้ต่ำ

and kids from richer families are impacted less positively.

และส่งผลดีน้อยกว่ากับเด็ก ที่มาจากครอบครัวรายได้สูง

So depending on your household configuration,

ดังนั้น มันขึ้นอยู่กับ โครงสร้างของครอบครัว

the effects on your child could be a little positive,

ผลลัพธ์ต่อตัวเด็กอาจจะดีบ้าง

or a little negative,

หรืออาจจะเป็นผลเสียบ้าง

but the overall impact is negligible.

แต่ก็ไม่ควรมองข้ามผลกระทบโดยรวม

Now I want to call out an exception: maternity leave.

ฉันขอพูดถึงข้อยกเว้นหนึ่ง นั่นคือ การลาคลอด

There is a growing body of evidence suggesting that babies do better

มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้น ที่บอกว่าทารกเติบโตได้ดีกว่า

when their mothers take some maternity leave.

เมื่อแม่ของพวกเขาใช้วันลาคลอด

The early days with your child can impact their development,

การใช้เวลาในช่วงแรกของชีวิตทารก มีผลต่อพัฒนาการของพวกเขา

so if you have paid leave, you should take it,

ดังนั้นถ้าคุณได้สิทธิการลาแบบได้เงินเดือน คุณควรใช้มัน

and if you don't, maybe consider

แต่ถ้าไม่ได้สิทธิ คุณอาจจะลอง

taking some unpaid leave for those first few months,

ใช้สิทธิการลาแบบไม่ได้รับเงิน ในช่วงสองสามเดือนแรก

if your budget allows.

ในกรณีที่คุณมีเงินพอ

And finally, ask yourself, what do I want?

และสุดท้าย ถามตัวเองว่าคุณต้องการอะไร

While this may seem simple,

นี่อาจจะดูเหมือนง่าย

it's the factor that feels most taboo to explore.

แต่มันกลับเป็นสิ่งที่พวกเรารู้สึกว่า ไม่ควรทำมากที่สุด

In talking to parents I find that when a woman chooses to stay home,

ตอนที่คุยกับคนเป็นพ่อแม่ ฉันพบว่าเมื่อแม่เลือกอยู่บ้าน

she often feels obligated to say

แม่คิดว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องพูดว่า

she made this choice for her children's optimal development.

เธอตัดสินใจแบบนี้ เพื่อพัฒนาการที่ดีที่สุดของลูก

Which, sure, can be part of the reason,

ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะเป็นแค่เหตุผลส่วนเดียว

but a perfectly acceptable answer is, "this is the lifestyle I prefer,"

แต่คำตอบที่ยอมรับได้คือ "นี่คือไลฟ์สไตล์ที่ฉันต้องการ"

or "this is what works for my family."

หรือ "มันเหมาะกับครอบครัวของฉัน"

The same goes for the working mother.

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับแม่ที่ทำงาน

Saying, "I like my job, and that's why I went back to work," is enough.

แค่พูดว่า "ฉันรักงานของฉัน และ นั่นคือเหตุผลที่ฉันกลับไปทำงาน" ก็พอ

If you want to go back to work, that's great.

มันเยี่ยมเลย ถ้าคุณอยากกลับไปทำงาน

You're lucky to have a job that you love

คุณโชคดีที่ได้ทำงานที่คุณรัก

and you have every right to keep it once you become a parent.

และคุณมีสิทธิทุกประการที่จะรักษามันไว้ เมื่อคุณเป็นแม่คนแล้ว

Be honest with yourself about what you'd like to do.

ซื่อสัตย์กับตนเองเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอยากทำ

If you're upfront about that, you're guaranteed to feel happier,

ถ้าคุณกล้าเผชิญความจริงแล้ว คุณก็จะมีความสุขมากขึ้นแน่นอน

which will allow you to be the best version of a parent you can be,

ซึ่งจะช่วยให้คุณเป็นแม่ในแบบที่ดีที่สุด ที่คุณจะเป็นได้

and isn't that the whole point?

และนั่นสำคัญที่สุดไม่ใช่หรือ

There is no right and wrong when it comes to parenting.

การเป็นพ่อแม่มันไม่มีถูกหรือผิด

The best decision is the one

การตัดสินใจที่ดีที่สุดคือ

that will make you -- and your family -- the happiest.

การตัดสินใจที่ทำให้คุณและครอบครัว มีความสุขที่สุด

Up to you to decide what's next.

ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะทำอะไรให้เกิดขึ้น

By acknowledging that the choice to stay home or not

ด้วยการตระหนักว่า การเลือกอยู่บ้านหรือไม่

is just that, a choice,

เป็นเพียงแค่ทางเลือก

with factors pushing you in various directions,

ที่มีปัจจัยกดดันคุณจากทุกทิศทุกทาง

we can ditch the guilt and enjoy doing what feels best for our families.

เราสามารถทิ้งความรู้สึกผิดและมีความสุข ในการทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับครอบครัว