Overcoming the scientific divide - Aaron Reedy

เอาชนะการแบ่งแยกทางวิทยาศาสตร์ - แอรอน รีดี (Arron Reedy)

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Kanawat Senanan

When I look at science education,

เมื่อผมมองไปยังการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์

I see a divide.

ผมเห็นการแบ่งแยก

I see a divide between

ผมเห็นการแบ่งแยกระหว่าง

doing science

ทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์

and learning science.

และการเรียนวิทยาศาสตร์

And now if you're a kid in that system of education,

และตอนนี้ ถ้าคุณเป็นเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษา

and you want to do science,

และคุณต้องการที่จะทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์

you want to do authentic research,

คุณต้องการที่จะทำงานวิจัยขนานแท้

you may have to wait a long time for that

คุณอาจต้องรอนานอยู่เลยล่ะ

because the first moment

เพราะว่าจุดแรก

in our system of science education

ที่ระบบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของเรา

where we universally expect students to do science

โดยทั่วไป หวังจะให้นักเรียน ทำกิจกรรมเชิงวิทยาศาสตร์นั้น

often doesn't come until graduate school.

มันจะไม่เกิดขึ้นก่อนระดับอุดมศึกษา

And this is what sets up the divide.

และนี่เป็นตัวที่สร้างความแบ่งแยก

It sets up a divide between teachers and scientists,

มันสร้างความแบ่งแยกระหว่าครูและนักวิทยาศาสตร์

and it sets up a divide in general

และมันสร้างความแบ่งแยกโดยทั่วไป

between learning science and doing science.

ระหว่างการเรียนวิทยาศาสตร์ และการทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์

But I think we can overcome this divide

แต่ผมคิดว่า เราสามารถที่จะข้ามพ้นการแบ่งแยกนี้

if teachers and scientists work together.

ถ้าครูและนักวิทยาศาสตร์ร่วมมือกัน

And I think teachers are uniquely positioned

และผมคิดว่า ครูอยู่ในฐานะพิเศษ

to reach out to scientists

ที่จะเข้าหานักวิทยาศาสตร์

และทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น

and make this happen.

In my own classroom,

ในชั้นเรียนของผม

I've had some success with this model.

ผมประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ด้วยตัวอย่างนี้

And so I'd like to use my own experiences

ดังนั้น ผมอยากที่จะใช้ประสบการณ์ของผม

to kind of illustrate

มาแสดงให้เห็นภาพ

how an individual teacher can reach out to scientists

ถึงวิธีที่ครูแต่ละคนจะสามารถเข้าถึงนักวิทยาศาสตร์

and make more science happen in their classrooms.

และทำให้ชั้นเรียนของพวกเขาเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น

I had the opportunity to develop

ผมมีโอกาสที่จะพัฒนา

my own professional development program

ตัวผม ในโครงการพัฒนาอบรม

in the summer through an organization

ในช่วงฤดูร้อน ผ่านองค์กร

called Fund for Teachers.

ที่ชื่อว่า "ทุนสำหรับครู" (Fund for Teachers)

The way they work is they're kind of like

รูปแบบของมันเป็นประมาณว่าพวกเขา

เป็นนักลงทุนในกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เพื่อผู้สอน

venture capitalists for educators.

You go to them with an idea and you say,

คุณไปหาพวกเขาพร้อมกับความคิด และคุณก็บอกว่า

'Hey, this is going to make me a better teacher.

"เฮ้ นี่จะทำให้ฉันเป็นครูที่ดีกว่าเดิมนะ

This is going to help my students learn.'

นี่มันจะช่วยให้นักเรียนของผมเรียนรู้"

And if they like your idea and they're able,

และถ้าพวกเขาชอบความคิดของคุณ และถ้าพวกเขาทำได้

they fund it, and they make that idea happen for you.

พวกเขาจะให้ทุน และพวกเขาจะทำให้ความคิดคุณเกิดขึ้นจริง

So, the idea that I pitched to them

ดังนั้น ความคิดที่ผมเสนอให้พวกเขาเลยก็คือ

was an idea that would get me doing more science

ความคิดที่จะทำให้ผมได้ทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์มากขึ้น

because that was important to me.

เพราะว่า นั่นมันสำคัญสำหรับผม

แต่ที่สำคัญต่อผมอีกอย่างก็คือ

But it was also important to me

that I do it in such a way

ผมจะทำมันในทางที่

that it would capture the imagination of my students.

มันจะจับจินตนาการของนักเรียนของผม

So, the idea that I pitched to them

ฉะนั้น ความคิดที่ผมเสนอพวกเขา

was a thousand-mile expedition on the Mississippi River

คือการสำรวจระยะทางพันไมล์บนแม่น้ำมิสซิสซิปปี

to gather data on nutrient pollution.

เพื่อรวบรวมข้อมูลมลพิษของสารอาหารในน้ำ

And for 27 days that summer,

และเป็นเวลา 27 วันในฤดูร้อนนั้น

I was immersed in the process of doing science

ผมดำดิ่งลงไปในกระบวนการ ของกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์

on one of the mightiest rivers on the planet.

บนหนึ่งในแม่น้ำที่ทรงพลังที่สุดในโลก

When we would come ashore,

เมื่อพวกเรากำลังกลับเข้าฝั่ง

after paddling six to ten hours a day,

หลังจากพายเรือกัน 6 ถึง 10 ชั่วโมงต่อวัน

we would set up a temporary lab,

พวกเราจะมาตั้งห้องปฎิบัติการชั่วคราว

and we'd conduct water tests.

และพวกเราจะทำการทดสอบน้ำ

In prepping for this,

ในการเตรียมการสิ่งนี้

I quickly realized how poorly my own education

ผมตระหนักอย่างรวดเร็ว ถึงความย่ำแย่ของการศึกษาของผม

had prepared me to do science

ที่เป็นพื้นฐานให้ผมทำงานวิทยาศาสตร์

of this nature and of this scope.

ในงานวิจัย ที่มีขอบเขตกว้าง ในลักษณะนี้

So, what I did was I reached out to experts.

ดังนั้น สิ่งที่ผมทำก็คือเข้าหาผู้เชี่ยวชาญ

I just simply looked through journals,

ผมก็แค่มองหาตามนิตยสารวิชาการ

and I found who was the leading experts

และผมก็พบว่าใครเป็นยอดผู้เชี่ยวชาญ

in nutrient pollution in major rivers,

ด้านมลพิษของสารอาหารในแม่น้ำหลักๆ

and I started firing off emails with questions.

และผมก็เริ่มที่จะยิงอีเมล์พร้อมคำถาม

And I was astounded at the responses I got.

และผมก็ประหลาดใจกับการตอบสนองที่ผมได้

Scientists responded thoroughly,

นักวิทยาศาสตร์ตอบกลับมาอย่างละเอียด

and they were genuinely interested

และที่จริงแล้วพวกเขาก็สนใจ

in helping me do better science.

ที่จะช่วยเหลือผมให้ทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ได้ดีขึ้น

So, I kind of put that information in my back pocket

ดังนั้น ผมก็จำใส่ใจไว้

that professional scientists were a resource

ว่านักวิทยาศาสตร์มืออาชีพนั้น เป็นแหล่งข้อมูล

that I could draw from.

ที่ผมสามารถเข้าไปหาได้

When I went back to my classroom in the fall,

เมื่อผมกลับมายังชั้นเรียนของผมในฤดูใบไม้ร่วง

my students were able to use the same methods

นักเรียนของผมสามารถที่จะใช้วิธีการเดียวกัน

that I had learned in the summer

ที่ผมได้เรียนรู้มาในตอนฤดูร้อน

on a river in their own back yard, the Chicago River,

กับแม่ในสวนหลังบ้านของพวกเขา ซึ่งก็คือ แม่น้ำชิคาโก

to do real science.

เพื่อที่จะทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์แบบจริงๆ

And I could see this breakdown of the barrier

และผมสามารถเห็นได้ถึงการพังทลายของกำแพง

between doing science and learning science,

ระหว่างการทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ และการเรียนวิทยาศาสตร์

and it was happening in my classroom,

และมันก็เกิดขึ้นแล้วในชั้นเรียนของผม

and I wanted more of it.

และผมก็อยากให้มันเป็นอะไรมากกว่านั้น

So, the next summer, I reached out to scientists again.

ดังนั้น ในฤดูร้อนถัดมา ผมได้เข้าไปหานักวิทยาศาสตร์อีก

And I pretty quickly came across

และไม่ทันไร ผมก็ได้พบกับ

an evolutionary ecology lab at Iowa State.

ห้องปฎิบัติการทางนิเวศวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary ecology) ในรัฐไอโอวา

And they shared my philosophy

และพวกเขาก็มีปรัชญาเช่นเดียวกับผม

that there should be no separation

ซึ่งก็คือ การที่มันจะไม่มีการแบ่งกั้น

between doing science and learning science.

ระหว่างกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ และการเรียนวิทยาศาสตร์

They worked on turtle reproduction,

พวกเขาทำงานเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ของเต่า

specifically how climate change

โดยเฉพาะ เรื่องที่ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

affects the evolution of turtle reproductive behavior,

ส่งผลต่อวิวัฒนาการ ของพฤติกรรมการสืบพันธุ์ของเต่าอย่างไร

and they worked on an island in the Mississippi River.

และพวกเขาทำงานบนเกาะ ในแม่น้ำมิสซิสซิปปี

So, I was thrilled again to be out

ดังนั้น ผมดีใจเหลือเกินที่ได้ออกไป

on the river for another summer.

ยังแม่น้ำในฤดูร้อนอีกครั้ง

But, because they shared my believes on education,

แต่ เพราะพวกเขามีความเชื่อเช่นเดียวกับผม ในเรื่องการศึกษา

we were able to bring high school students out there

พวกเราสามารถที่จะพานักเรียนมัธยมไปที่นั่น

for two weeks at a time

เป็นเวลานานถึงสองสัปดาห์

and turn them loose

และปล่อยให้พวกเขา

on their own authentic research projects

ทำโครงการวิจัยแบบจริงจังด้วยตัวพวกเขาเอง

on the biology of turtles,

ในเรื่องเกี่ยวกับชีววิทยาของเต่า

snakes,

งู

lizards.

จิ้งจก ตุ๊กแก

And, in that experience,

และ ในประสบการณ์นั้น

working side by side with people

ทำงานกระทบไหล่กับผู้คน

at all different stages of their academic career,

ที่อยู่ในทุกระดับตำแหน่งทางวิชาการ

we had the high school students working beside undergrads,

พวกเรามีนักเรียนมัธยม ทำงานเคียงข้างกับนักเรียนปริญญาตรี

working beside graduate students,

ทำงานเคียงข้างกับนักเรียนระดับอุดมศึกษา

ทำงานเคียงข้างกับมืออาชีพ

working beside professionals.

I left that experience absolutely convinced

ผมจากประสบการณ์นั้นมาด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม

that this is the right way to teach science,

ว่านี่เป็นหนทางที่ถูกต้องในการสอนวิทยาศาสตร์

with no separation between doing science

ที่ไม่มีการแบ่งกันระหว่างกิจกรรมวิทยาศาสตร์

and learning science.

และการเรียนวิทยาศาสตร์

I continued to keep up my relationships

ผมสานต่อความสัมพันธ์ของผม

with these scientists,

กับบรรดานักวิทยาศาสตร์

and I got to the point where I wanted to try something new,

และผมไปยังจุดหนึ่ง ที่ผมต้องการจะลองอะไรใหม่

something that hadn't been done before.

อะไรสักอย่างที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน

I wanted to bring those kinds of science experiences

ผมอยากที่จะนำประสบการณ์วิทยาศาสตร์แบบนั้น

that we were having with kids out at the river,

ที่พวกเราได้มีร่วมกับเด็กๆ ณ แม่น้ำนั่น

and I wanted to put those into our classroom.

และอยากจะนำพวกมันมายังชั้นเรียนของผม

And it was important to me

และมันสำคัญสำหรับผม

that it wasn't simply a one-off

ที่มันจะไม่ได้เป็นวันหยุดธรรมดาวันหนึ่ง

or a one-day special field trip.

หรือเป็นการออกนอกสนามพิเศษหนึ่งวัน

I wanted this kind of science

ผมอยากให้วิทยาศาสตร์ในลักษณะนี้

to be a part of the everyday science curriculum

เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน

for an entire school year.

สำหรับทั้งปีการศึกษา

So, as we were thinking of this,

ฉะนั้น ขณะที่เราคิดถึงสิ่งนี้

in planning for how we could make this happen realistically,

ในการวางแผนว่า เราจะทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆได้อย่างไร

we reached out to the National Science Foundation,

เราเข้าไปหามูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Science Foundation)

และเราก็สมัครขอทุนสำหรับประสบการณ์วิจัยสำหรับครู

and we applied to a Research Experience for Teachers grant,

or the RET.

หรือที่เรียกว่า RET

And now, teachers have to partner

และทีนี้ ครูก็ต้องจับคู่

with a researcher who is already supported by the NSF

กับนักวิจัย ผู้ที่ให้การสนับสนุนอยู่กับทางมูลนิธิฯ

to apply for this grant,

เพื่อที่จะสมัครขอทุนนี้

but I think that just gives you one more great excuse

แต่ผมคิดว่านั่นมันก็แค่ให้ข้ออ้างคำโตสำหรับคุณ

ในการจะจับคู่กับนักวิทยาศาสตร์

to partner with a scientist.

And what we did is we used our NSF funding

และที่เราทำก็คือ เราใช้เงินทุนที่ได้จากมูลนิธิฯ

to travel down to Florida,

เพื่อการเดินทางลงไปยังฟลอริดา

with the permission of the state Florida

โดยได้รับคำอนุญาตจากรัฐฟลอริดา

catch a bunch of lizards,

ให้จับกิ้งก่าชนิดต่างๆ

and FedEx them back to my classroom in Chicago

และเอามันส่งไปรษณีย์ด่วน กลับไปยังห้องเรียนของผมในชิคาโก

where we had set-up a functioning, live animal lab.

ซึ่งที่นั่น เราจัดเตรียมห้องทดลองจริงๆ สำหรับสัตว์ที่มีชีวิต

So, when my students came to school

ฉะนั้น เมื่อนักเรียนของผมมาโรงเรียน

for the first day in September,

เป็นวันแรกในเดินพฤศจิกายน

they immediately began work on a scientific experiment

พวกเขาก็เริ่มทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในทันที

that would answer a very specific question.

ซึ่งมันจะให้คำตอบต่อคำถามที่เฉพาะเจาะจงมากๆ

Our question was,

คำถามของเราก็คือ

"How do females make choices when they lay eggs?

"ตัวเมียมีวิธีเลือกอย่างไรเมื่อมันต้องการวางไข่

How do they choose a nest site?

พวกมันเลือกสถานที่ของรังได้อย่างไร

And what effect does that choice have on their offspring?"

และการเลือกนั้นมีผลอย่างไรต่อลูกๆ ของพวกมัน"

And, by the end of the year,

และเมื่อจบปี

they had generated data

พวกเขาก็ได้ข้อมูล

and performed science that answered that question.

และได้ทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่จะตอบคำถาม

And I was extremely happy

และผมก็ดีใจเป็นอย่างมาก

when our work was recently published

เมื่องานของพวกเราได้รับการตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้

in the January edition of <em>Behavioral Ecology</em>.

ในนิตยสาร Behavioral Ecology ฉบับเดือนมกราคม

And, to my knowledge, this is the first time

และเท่าที่ผมทราบ นี่เป็นครั้งแรก

that work conducted as part

ที่งานซึ่งเกิดจากส่วนหนึ่ง

of a normal high school curriculum

ของหลักสูตรเด็กมัธยมปลาย

resulted in a peer-reviewed paper.

ได้มาปรากฎในสิ่งพิมพ์ ที่ได้รับการตรวจทานโดยนักวิทยาศาสตร์

So, I have three pieces of advice

เอาล่ะครับ ผมมีคำแนะนำสามข้อ

for teachers who want to make these connections

ถึงบรรดาคุณครูผู้ต้องการจะสร้างเครือข่าย

with scientists and want to blur the line

กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ และต้องการที่จะทำให้พรมแดน

between doing science and learning science.

ระหว่างวิทยาศาสตร์และการเรียนวิทยาศาสตร์จางลง

Number 1,

ประการแรก

look out for those great resources that are out there.

มองหาแหล่งเงินทุนเจ๋งๆ ที่หาได้จากข้างนอกนั่น

สมัครของทุน RET

Apply for an RET grant,

apply for a Fund for Teachers fellowship.

สมัครขอทุนจากสมาคมสำหรับคุณครู

I know what a difference those resources can make.

ผมรู้ว่าแหล่งเงินทุนเหล่านี้สร้างความแตกต่าง ได้มากแค่ไหน

And there's more resources available locally,

และมันก็มีแหล่งทุนอีกมากมายในระดับท้องถิ่น

and you should look for those, too

และคุณควรลองมองหาทุนเหล่านี้เช่นกัน

เพราะว่าพวกมันสามารถที่จะมีอิทธิพล

because they can influence the amount

that you are able to accomplish. I know that.

ต่อปริมาณความสำเร็จของคุณ ผมรู้ดีครับ

However, my number 2 piece of advice is

อย่างไรก็ดี คำแนะนำประการที่สองของผมก็คือ

don't let a lack of resources stop you

อย่าให้การขาดแหล่งทุนมาหยุดคุณ

from making those connections with professional science.

ในการที่จะสร้างเครือข่ายเชื่อมโยง กับผู้ชำนาญการทางวิทยาศาสตร์

Reach out to a scientist today,

เอื้อมเข้าหานักวิทยาศาสตร์เลยครับ

no matter what your resource level is.

ไม่ว่าระดับเงินทุนของคุณจะเป็นอย่างไร

You can start small.

คุณเริ่มจากจุดเล็กๆได้

Invite a scientist in for a talk.

เชิญนักวิทยาศาสตร์เข้ามาพูด

Set up a Skype chat between a scientist and their lab.

จัดตั้งกลุ่มพูดคุยผ่าน Skype ระหว่างนักวิทยาศาสตร์และสมาชิกในห้องทดลอง

Then, maybe you can move up to

จากนั้น บางทีคุณอาจเลื่อนขึ้นไป

more large-scale project-based learning.

สู่ระบบการศึกษาโดยโครงงานในระดับที่ใหญ่ขึ้น

But, whatever you do,

แต่ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร

make sure that you're forming these partnerships

จะแน่ใจว่าคุณกำลังสร้างเครือข่าย

with people who do science for a living.

กับคนที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นวิชาชีพ

And my third point acknowledges

และประการที่สามของผมนั้น เป็นการประกาศกิติกรรม

some of the realities that teachers are facing today.

ของความจริงบางประการที่ครูทั้งหลายต้องเผชิญในวันนี้

I know that the pressure of high-stakes testing

ผมรู้ว่าความกดดันของการทดลองที่มีเดิมพันสูง

and the climate that creates

และบรรยากาศที่เกิดขึ้น

can make it feel almost a little bit subversive

สามารถทำให้เกิดความรู้สึกว่า มันค่อนข้างจะบ่อนทำลาย

to deviate from the standard curriculum.

เมื่อเบี่ยงเบนแบบเรียนไปจากมาตราฐาน

So, my final piece of advice is

ดังนั้น คำแนะนำสุดท้ายจากผมก็คือ

be a bit subversive if you have to.

เป็นนักบ่อนทำลายเล็กๆ ซะครับ ถ้าจำเป็น

Make sure, though, that you are doing science.

แต่ขอให้แน่ใจนะครับ ว่าคุณกำลังทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์

And I don't mean be confrontational when I say this

และผมไม่ได้หมายถึงการเข้าเผชิญหน้านะครับ

because that's not productive.

เพราะว่านั่นมันไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีแน่

But take the steps you need to

แต่จงลงมือทำในสิ่งที่จำเป็น

to blur those lines between doing science

สำหรับการลดพรมแดนระหว่างกิจกรรมวิทยาศาสตร์

and learning science for your students.

และการเรียนวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนของคุณ

And I think you'll find that when people see

และผมคิดว่า คุณจะพบมันเมื่อคนเห็นว่า

how engaged in learning your students are,

เด็กนักเรียนของคุณเข้ามามีส่วนร่วม ในการเรียนมากแค่ไหน

and you're getting good results,

และคุณก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดี

all your opposition is just going to kind of

ทุกสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์กับคุณ ก็จะราวกับว่า

melt away from that,

มันหลอมละลายไปจากตรงนั้น

and you're going to turn people into supporters.

และคุณก็จะกำลังเปลี่ยนผู้คนมาเป็นผู้สนับสนุน

So, I think that this is the right way to teach science

ดังนั้น ผมคิดว่า นี่เป็นทางที่ถูกต้อง ในการสอนวิทยาศาสตร์

where we're teaching the doing of science.

ทางที่เราสอนในการทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์

และผมคิดว่า มันสำคัญที่จะทำสิ่งนี้เช่นกัน

And I think it's important to do this also

because this is the way

เพราะว่า นี่คือหนทาง

that you would have wanted to learn science as a kid,

ที่คุณอาจจะอยากเรียนวิทยาศาสตร์เมื่อคุณเป็นเด็ก

and, more importantly, I think this is the way

และที่สำคัญไปกว่านั้น ผมคิดว่านี่คือหนทาง

that you would want your kids to be taught science.

ที่คุณจะต้องการให้เด็กๆของคุณได้รับการสอนวิทยาศาสตร์

And this is the highest standard

และนี่ก็เป็นมาตรฐานที่สูงที่สุด

ที่คุณสามารถจะทำได้ในฐานะ นักการศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์

that you can hold yourself to as a science educator.

So, good luck making those connections,

ฉะนั้น ขอให้โชคดี สร้างความสัมพันธ์เชื่อมต่อเหล่านั้น

and go do some science!

และทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์กันครับ

Thank you.

ขอบคุณครับ