Daniel Kraft: How COVID-19 transformed the future of medicine | TED

Transcriber:

As a small child, I was lucky to be at the launch of Apollo 17,

Translator: Sudarat Insawas Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

the last manned mission to the Moon,

ตอนเด็กๆ ผมโชคดีที่ได้ไปดู การปล่อยยานอพอลโล 17

and I've remained enamored with space ever since.

ในการปฏิบัติภารกิจสุดท้ายสู่ดวงจันทร์

And fortunate as a physician

ตั้งแต่นั้นมาผมก็คลั่งไคล้อวกาศมาก

to have contributed to NASA life sciences research

ทั้งยังโชคดี ในฐานะที่เป็นแพทย์

and to practice aerospace medicine,

ที่มีส่วนช่วยงานวิจัยสิ่งมีชีวิตของนาซ่า

inspired by the cross-disciplinary teamwork required

ได้ฝึกหัดงานเวชศาตร์การบินและอวกาศ

to tackle audacious challenges

ที่กระตุ้นให้ทำงานร่วมกัน ตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด

and how space is has often brought the world together

เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ

through the lens of seeing our planet as one without borders.

และได้รู้ว่าอวกาศทำให้คนทั้งโลก มารวมตัวกันบ่อย ๆ

Now, just as the historic Apollo moon landings

เหมือนเป็นดั่งโลกที่ไร้พรมแดน

were transformational inflection points in history,

เมื่อยานอพอลโลได้จอดลงบนดวงจันทร์

so too is the global health crisis of COVID-19,

ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในประวัติศาตร์

which, despite its many challenges and tragedies,

เช่นเดียวกันกับวิกฤติโควิด 19

like the sinister Cold War setting, which launched the space race,

ถึงแม้ว่ามันจะมีปัญหามากมาย และเป็นเรื่องที่น่าเศร้า

can have silver linings.

เหมือนความเลวร้ายของสงครามเย็น ที่ก่อให้เกิดการแข่งขันด้านอวกาศ

As Regina Dugan, former head of DARPA, wrote,

ก็มีสิ่งดีที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

“Sputnik set off the space age, COVID can spark the health age.”

รีจีนา ดูแกน อดีตหัวหน้า องค์กรวิจัย DARPA เขียนไว้ว่า

ดาวเทียวสปุตนิต สร้างยุคการท่องอวกาศ โควิด ก็จุดประกายยุคแห่งการรักษาสุขภาพ

The silver linings include

the unprecedented acceleration

of innovation, collaboration and discovery,

สิ่งดีดีที่เกิดขึ้น รวมไปถึง

ความรวดเร็วแบบไม่เคยมีมาก่อน

catalyzing a future of health and medicine that can help us reimagine

ในด้านนวัตกรรม การร่วมมือกัน การค้นพบสิ่งใหม่ ๆ

and bring us a healthier, smarter, more equitable post-COVID world.

กระตุ้นอนาคตวงการแพทย์และสาธารณสุข ที่ช่วยให้เราเกิดความคิดใหม่ๆ

ทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น เก่งขึ้น เท่าเทียมมากขึ้น หลังสถานการณ์โควิด

Now, many solutions ride the rails

of rapidly, exponentially developing technologies

ตอนนี้ วิธีแก้ปัญหาแบบเร่งด่วน ผุดขึ้นมากมาย

that are rapidly doubling in their speed-price performance,

อย่างรวดเร็ว การพัฒนาเทคโนโลยี แบบก้าวกระโดด

as exemplified by Moore's Law,

ได้ทวีราคาขึ้นอีกเท่าตัวอย่างว่องไว

which has enabled the billionfold improvements in memory and computation,

เหมือนดังตัวอย่าง กฎของมัวร์

ที่ได้พัฒนาในส่วนของหน่วยความจำ และการคำนวณอย่างมหาศาล

resulting in the ubiquitous supercomputer smartphones

most of us carry in our pockets.

เป็นผลให้มีคอมพิวเตอร์ และมือถือ สมรรถนะสูง ใช้กันอย่างกว้างขวาง

I still have my now ancient iPhone 2 here.

ที่พวกเราส่วนใหญ่ พกไว้ในกระเป๋ากัน

Still works, which felt magical 12 years ago

ผมยังมีไอโฟนเก่า รุ่น 2 อยู่เลย

but now feels slow and kludgy.

ยังใช้การได้ รู้สึกว่ามันเจ๋งมากนะ เมื่อ 12 ปีที่แล้ว

And I'm sure my iPhone 11 will soon seem antique,

แต่ตอนนี้กลับอืด แล้วก็เทอะทะ

perhaps as its features dissolve into the rumored to soon arrive

ที่แน่ๆ ไอโฟน 11 ของผม ก็ใกล้เป็น วัตถุโบราณแล้วล่ะ

augmented reality smartglasses.

บางทีฟีเจอร์ใหม่ที่ลือกัน อาจจะมีจริงเร็ว ๆนี้

Now exponential technologies packed into our smart devices

แว่นตาอัจฉริยะ ใกล้เคียงความจริงมากละครับ

are becoming increasingly medicalized,

อัตราการเติบโตของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ที่ตอนนี้อัดแน่นในอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเรา

with sensors able to detect an ear infection and more.

กลายมาเป็นตัวช่วยด้านการแพทย์อย่างมาก

So what used to fit on a desktop computer

ด้วยเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับ การติดเชื้อในหูและอื่นๆ ได้

now fits on our wrist

and these are now entering the domain of FDA-approved medical devices.

สิ่งที่เราเคยใช้กันอยู่บนคอมพิวเตอร์

ตอนนี้มันมาอยู่บนข้อมือของเราแล้ว

และพวกนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณาเป็น อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อนุมัติโดย FDA

But the future isn't about any one technology,

but their convergence as they get faster, cheaper, better.

แต่อนาคตไม่ใช่เพียงแค่ เทคโนโลยีตัวใดตัวหนึ่ง

In fact, creating entire new fields at their interfaces,

แต่การมาผนวกกันทำให้ได้ ความเร็วขึ้น ถูกกว่าเดิม เจ๋งกว่าเดิม

from computational biology, robotic surgery,

ความจริงแล้ว การผนวกสองสิ่งใหม่เข้าด้วยกัน

digiceuticals, telemedicine to AI-enabled radiology.

จากชีวสารสนเทศศาสตร์ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด

การรักษาด้วยดิจิตอล โทรเวช และ งานรังสีวิทยาด้วย AI

And while many industries have been disrupted

and breached the fourth industrial age,

ในขณะที่หลายอุตสาหกรรม ต่างได้รับผลกระทบ

health and medicine often feel stuck in the second or third.

และถูกทำลายลงในยุค ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

การแพทย์และสาธารณสุขเกิดการหยุดชะงักบ่อยๆ ในช่วงยุคการปฏิวัติครั้งที่ 2 และ 3

Critical data is still stuck being shared on fax machines, paper forms.

เกิดปัญหาผิดพลาด ในการแชร์ข้อมูลสำคัญผ่านเครื่องส่งแฟกซ์

We're stuck in waiting rooms waiting for our visits.

เอกสารแบบฟอร์มต่างๆ ถูกดองเอาไว้ เพื่อรอให้เรามารับ

I recently had my own echocardiogram

only made available to share with me on a CD-ROM.

ผมเพิ่งได้ตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง

I don't even own a CD-ROM player anymore.

และได้ผลตรวจเป็น แผ่นซีดี

Tools for managing pandemics in 2020

ซึ่งผมไม่มีเครื่องเล่น แผ่นซีดีแล้วด้วยซ้ำ

rely on the same core technologies used in the pandemic of 1918:

อุปกรณ์ที่ใช้รับมือกับโรคระบาด ในปี 2020

face masks, social distancing,

ยังเป็นเทคโนโลยีเดิมที่ใช้กันในปี 1918

handwashing.

So part of the challenge in advancing global, local health

หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง

การล้างมือ

are our models, our mindsets.

ส่วนที่ท้าทายความก้าวหน้าของโลก สุขอนามัยในชุมชน

We don't really practice health care. We practice sick care.

คือแบบอย่างปฏิบัติ คือวิธีคิดของพวกเรา

เราไม่ได้มีการดูแลสุขภาพจริงจัง เราแค่รักษาอาการป่วยกัน

Sick care is based on intermittent episodic data,

usually only obtained within the four walls of the clinic

การรักษาอาการป่วย ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่มีในแต่ละช่วง

or hospital bed,

โดยทั่วไปแล้ว ก็รักษากัน ในคลินิคห้องสี่เหลี่ยม

and leads to our reactive sick care model,

หรือเตียงในโรงพยาบาล

where we wait for the patient to show up in the emergency room with a heart attack,

พาให้เราเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ ต่อการรักษาตัวแบบเดิม

stroke or late-stage cancer

ที่เรารอให้คนไข้มาหาที่ห้องฉุกเฉิน เพราะหัวใจวาย

or for the pandemic to arrive on our shores.

หลอดเลือดสมอง มะเร็งระยะสุดท้าย

I believe the convergence of many of the accelerating technologies

หรือโรคระบาดที่มาจวนตัวเรา

and approaches being catalyzed by COVID

ผมเชื่อว่า การประจวบกันของ หลายเทคโนโลยีที่เร็วขึ้น

will bring us from intermittent sick care

และด้วยการกระตุ้นของ โควิด

to an age of continuous, proactive, personalized,

จะเปลี่ยนเราจากการรักษา อาการป่วยอยู่เนืองๆ

crowdsourced health care

มาสู่ยุคแห่งการใส่ใจดูแลตัวเอง

that can increasingly bring care anytime, anywhere more effectively

ใช้ชุมชนออนไลน์ในการดูแลสุขภาพร่วมกัน

and lower costs around the planet.

ให้มีประสิทธิภาพใน การดูแลรักษามากขึ้นทุกที ทุกเวลา

For example, the convergence of ever smaller interconnected devices

และในราคาที่ถูกทั่วโลก

ยกตัวอย่างเช่น การใช้อุปการณ์ที่เล็กกว่าในการเชื่อมต่อ

now riding 5G

is creating not just an Internet of Things

but an Internet of Medical Things.

ที่ตอนนี้ขับเคลื่อนด้วย 5G

ไม่เฉพาะแค่อุปกรณ์ ที่ใช้ผ่านอินเตอร์เน็ต

Much of this convergence is in the field of digital health,

แต่คืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ใช้ได้ผ่านอินเตอร์เน็ต

the ability to connect the dots between data sources

การมาบรรจบกันนี้ ในด้านสาธาณสุขดิจิตอล

from personal genomics and medical records

ที่สามารถทำให้เห็นภาพชัดเจนและเป็นจริงได้ ระหว่างแหล่งข้อมูลต่าง ๆ

with apps and services that match the needs

จากจีโนมิกส์ส่วนตัวบวกเข้ากับ บันทึกด้านสุขภาพ

of an individual, patient or caregiver.

ด้วยแอพและบริการต่าง ๆ ที่เหมาะกับความจำเป็น

And as incentives and reimbursements align,

ของแต่ละคน ทั้งผู้ป่วย และ ก็ผู้ที่รักษา

COVID has pushed us to an increasingly virtualized care,

เมื่อมีการกระตุ้นและมีสิ่งทดแทน ที่อยู่ในแนวทางเดียวกัน

from the hospital to home to our phone

โควิดได้ผลักดันให้เราใช้ วีธีการรักษาแบบเสมือนจริงมากขึ้น

to on and even inside our bodies.

เปลี่ยนจากโรงพยาบาลมาเป็นใช้มือถือ

The age of hospital to home-spital is upon us.

หรือแม้กระทั่งใส่ไว้ภายในร่างกายของเรา

Now, the challenge of this hyperconnected age

จากยุคโรงพยาบาลมาสู่ การรักษาตัวเองด้วยตัวเอง

is that we're creating exponential amounts of big data

ความท้าทายในยุคนี้ ที่การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพสูง

that's too often siloed in formats that can't even talk to each other.

คือการที่เรากำลังสร้างข้อมูลอันมหาศาล

การจัดการข้อมูลที่ไม่เป็นผล บ่อยครั้งที่มีการอ่านข้อมูลไม่ตรงกัน

So we need to narrow that gap between data,

turning that into actual information for the patient, physician,

ดังนั้นเราจึงต้องบีบช่องว่าง ระหว่างข้อมูลให้แคบลง

public health worker,

เปลี่ยนมาเป็นข้อมูลที่ใช้ได้จริง สำหรับผู้ป่วย แพทย์

and speed its safe and effective use in the community clinic and bedside.

และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

เพิ่มขีดความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ที่นำไปใช้ในคลินิกของชุมชนและที่บ้านเอง

The pandemic has instigated an immense amount of international sharing

การระบาดทั่วโลกกระตุ้นให้เกิดการแบ่งปัน ระหว่างนานาชาติเป็นจำนวนมากมาย

and collaboration amongst clinicians and researchers to narrow that gap.

การร่วมมือกันของแพทย์ที่รักษา และนักวิจัยในการช่วยกันแก้ปัญหา

What was learned in managing patients in Wuhan

and then in the intensive care units of Italy

ได้เรียนรู้การจัดการผู้ป่วยในเมืองอู้ฮั่น

has helped New York City hospitals

and their learnings in turn have spread to centers around the world.

แล้วก็การดูแลผู้ป่วยวิกฤติในอิตาลี

เป็นแนวทางให้โรงพยาบาลในนิวยอร์ค

การค้นคว้าวิจัย ก็ได้กระจายไปศูนย์ต่างๆทั่วโลก

Let's take a quick dive into some examples

of what's happening across the health care paradigm

มาดูตัวอย่างกันเถอะครับ

in the age of COVID

and the implications for the future.

ว่ามีตัวอย่างการรักษาดูแลสุขภาพ อะไรเกิดขึ้นบ้าง

From new forms of data to help prediction of prevention

ในยุคโควิดนี้

ได้บอกอนาคตอะไรเราได้บ้าง

to faster diagnostics, more tailored therapy

จากแบบฟอร์มข้อมูลรูปแบบใหม่ ที่ช่วยให้เห็นแนวทางป้องกัน

and increasingly crowdsourced discovery.

ให้วินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น การรักษาที่เฉพาะเจาะจง

Let's start with prevention.

และเปิดใช้ชุมชนออนไลน์ มาช่วยแก้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น

Now, while our genomes impact our health outcomes

and our health spans,

เริ่มที่การป้องกัน เลยครับ

our social determinants of health,

ขณะที่ จีโนม ข้อมูลทางพันธุกรรม มีผลต่อสุขภาพของเรา

our social, and our day-to-day behaviors drive most of our risk for disease

และช่วงที่เรามีสุขภาพที่ดี

ปัจจัยทางสังคมที่ ส่งผลต่อสุขภาพ

พฤติกรรมในแต่ละวัน ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค

and associated costs.

And we now have an explosion of new tools

to help measure and improve our healthy behaviors.

เกี่ยวโยงกันไปถึงราคาค่ารักษา

แล้วเราก็ได้มีอุปกรณ์ใหม่ๆออกมามากมาย

The first Fitbit only launched in 2009.

มาช่วยตรวจเช็คและปรับปรุง พฤติกรรมด้านสุขภาพของเรา

Wearables are now ubiquitous

ฟิตบิท ตัวแรกเพิ่งเปิดตัวในปี 2009

and can measure almost every element of our physiology,

เครื่องมือที่ใส่ได้ มีใช้กันทั่วแล้วครับ

behavior and even mental health.

และสามารถตรวจวัดค่า เกี่ยวกับสรีระของเราได้เกือบทุกส่วน

And they're evolving all the way from disposable tattoos

ทั้งพฤติกรรม และ สุขภาพจิตของเราได้ด้วย

that can stream vital signs 24/7

สิ่งเหล่านี้รวมไปถึง รอยสักแบบแปะแล้วทิ้ง

to an integration of big data that can --

ที่สามารถใช้วัดสัญญานชีพจร ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

Even small data from a simple wearable,

สิ่งที่ขมวดเอาข้อมูลขนาดใหญ่

tracking the patient discharged home after a hip replacement

มาเป็นชุดข้อมูลขนาดเล็ก ที่สวมใส่ได้ง่ายๆ

or a coronavirus infection

เพื่อไว้ติดตามผู้ป่วยที่ได้กลับบ้าน หลังจากผ่าตัดเปลี่ยนสะโพก

can determine if the patient is recovering as expected,

หรือติดตามการติดเชื้อไวรัสโคโรนา

walking more, doing great

มันก็สามารถบอกได้ว่า ผู้ป่วยหายดีตามคาดแล้วหรือยัง

or not so great and trigger early intervention.

ต้องรักษาต่อไปอีก ผลกำลังไปได้ดี

หรือไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็จะได้เร่งแก้ไขรักษา

We're evolving from a world of quantified self

where our digital data remains silent on our devices

เรากำลังพัฒนาจากโลกของ การวัดค่าร่างกายตัวเอง

to one of quantified health

โดยใช้ข้อมูลดิจิตอลทำงาน อย่างเงียบๆบนอุปกรณ์ของเรา

where the data can be shared securely with clinical teams

ไปสู่โลกของการ ประเมินระดับสุขภาพ

and researchers to help optimize prevention,

ที่สามารถแชร์ข้อมูลอย่างปลอดภัย ให้กับทีมแพทย์

diagnose disease early

และนักวิจัย เพื่อหาวิธีการป้องกัน

and with feedback loops,

personalize and optimize therapy.

วินิจฉัยโรคก่อนเวลา

และด้วยผลลัพธ์ที่ได้กลับมา

From wristband vitals,

ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาตัวเอง

including blood pressure, now obtainable without a cuff,

จากสายรัดข้อมือจับชีพจร

and soon sensors that will measure our blood oxygenation levels

รวมถึงการวัดความดันเลือด โดยไม่ต้องมีตัวรัดแขน

to continuous blood sugar monitoring,

แล้วก็ตัวเซนเซอร์ที่เอาไว้ วัดระดับออกซิเจนในเลือด

to shock'ables, hearables, ring'ables that can replace an entire sleep lab

ไว้เฝ้าสังเกตน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง

ไว้เป็นตัวกระตุ้น ใช้ทำให้ได้ยิน ใช้ทำให้มีเสียง มาใช้แทนแล็บตรวจการนอนได้

fitting on our finger

to inside’ables, chips beneath our skin, to track our physiology and lab values,

แค่สวมไว้ในนิ้วมือ

ที่ใช้ฝังไว้ใต้ผิวหนังได้ ไว้ติดตามค่าทางร่างกายและค่าแล็บต่าง ๆ

to even underwear'ables,

Internet of Medical Things sensors so cheap today

หรือแนบไว้ที่กางเกงชั้นในได้

you can get a pack of ten of them, have one on each pair of your underwear,

อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ ผ่านอินเตอร์เน็ต เซ็นเซอร์ที่แสนถูก

now being used to do what's called remote patient monitoring

ที่คุณซื้อมาได้แบบ เป็นแพ็คสิบชิ้น มาใช้แนบไว้ที่ กางเกงชั้นในแต่ละตัว

to help detect signs of respiratory decompensation

ตอนนี้เอาไว้ใช้ ติดตามอาการผู้ป่วย

of patients with bronchitis or COVID.

ใช้ตรวจจับสัญญาน การหายใจที่ล้มเหลว

ของผู้ป่วยโควิดที่มีปอดอักเสบ

Breath'ables are showing promise.

Nanonoses that can detect molecules in our breath correlating to cancer,

ให้กลับมาหายใจได้เอง

จมูกเทียมที่สามารถตรวจจับ โมเลกุลในลมหายใจ ไปจนเซลล์มะเร็ง

metabolic disease and even diagnosing infectious disease.

ภาวะการเผาผลาญอาหารผิดปกติ หรือแม้แต่วินิจฉัยเชื้อโรค

In fact, we now don't need to wear anything.

Invisibles, ambient sensing from AI-enabled cameras

จริงๆแล้ว เราไม่จำเป็นต้องสวมใส่อะไรเลย

can track her vital signs.

อุปกรณ์ตัวที่ซ่อนไว้จับสัญญาน รอบด้านด้วย กล้องระบบ AI

To voice as a biomarker to manage and detect mental health challenges,

ที่สามารถจับสัญญานชีพจรได้

ส่งเสียงเตือนค่าบ่งชี้ทางชีวภาพ ให้จัดการและตรวจจับปัญหาด้านจิตใจ

signs of heart disease,

now being able to differentiate between a cough from a common cold

สัญญานเตือนโรคหัวใจ

to that one caused by coronavirus.

ตอนนี้สามารถแยกความแตกต่าง ระหว่างการไอจากไข้หวัด

And we'll soon be exuding our digital exhaust 24/7,

และการไอเพราะไวรัสโคโรนา

our digitome.

และเราก็จะมีอุปกรณ์ดิจิตอล ใช้กันอยากมากมายได้ตลอดเวลา

How do we make sense and truly leverage it?

เครื่องมือดิจิตอลวัดค่าของเรา

One path is through crowdsourcing.

เราจะใช้ประโยชน์จากมันได้ยังไง

The million-participant All of Us trial

วิธีหนึ่งคือระดมข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต

from the National Institutes of Health is doing just that

ผู้เข้าร่วนเป็นล้านใน การทดลอง All of US

where data donors, and I'm one, can contribute our medical records,

จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ ที่ทำโครงการนี้

genomes and wearable data

ที่ๆ ผู้บริจาคข้อมูล สามารถให้ข้อมูล สนับสนุนด้านสุขภาพ

to build a much better and diverse data set,

จีโนม และ ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่สวมใส่

crossing racial and socioeconomic groups

ในการสร้างฐานข้อมูลที่หลากหลายและดีกว่า

to help foster better precision medicine for all of us.

ครอบคลุมทุกชาติพันธ์และ กลุ่มทางเศรษฐกิจสังคม

เพื่อให้การช่วยเหลือพวกเรา ได้ตรงจุดและแม่นยำกว่า

Integrating this information for the individual and public health

will lead to predictalitics,

การบูรณาการข้อมูลนี้สำหรับ สุขภาพส่วนบุคคลหรือส่วนรวม

our own personal check engine lights

that can give us early proactive warning.

จะนำมาซึ่งการคาดประเมิน

เครื่องมือในการตรวจเช็คตัวเราเอง

And recent work is demonstrating that wearables can detect presymptomatically

ที่ทำให้เราเจอสัญญานของโรคไวขึ้น

และตอนนี้อุปกรณ์ที่สวมใส่ได้ สามารถตรวจจับอาการเบื้องต้นได้

the onset of the flu,

or, as recently published by Stanford,

in 83 percent of COVID patients

เมื่อเริ่มจะเป็นไข้

smartwatches can detect COVID infections early,

หรือที่สแตนฟอร์ดได้เผยแพร่ ไม่นานนี้ว่า

83 % ของผู้ป่วยโควิดนั้น

often days before onset of symptoms.

นาฬิกาสมาร์ตวอตช์ สามารถจับ การติดเชื้อโควิดได้เร็วขึ้น

Self-reporting websites like Covid Near You

หลายวัน ก่อนที่จะเริ่มมีอาการ

enable us to locally generate infections maps,

เว็บไซต์ที่ไว้รายงานตัว เช่น โควิดใกล้ๆคุณ

and combined with our social graphs and contact tracing apps,

ช่วยให้เราสร้างแผนที่ การติดเชื้อในพื้นที่ได้

may provide us detailed suggestions about who we might want to consider

บวกกันกับแผนกราฟเครือข่ายทางสังคม แอพติดตามผู้สัมผัส

being near or socially distanced from.

อาจจะช่วยให้ได้คำแนะนำโดยละเอียด เกี่ยวกับคนที่เราคิดว่า

What about advancements in diagnostics and monitoring?

ควรจะอยู่ใกล้ หรือ ควรจะเว้นระยะห่าง

What used to require a full clinic or laboratory

แล้วความก้าวหน้าของ การวินิฉัยและการติดตามละเป็นยังไง

can now fit into a digital doctor's bag

อะไรที่เคยจำเป็นต้องไปคลินิก หรือต้องใช้ห้องแล็บ

or the pocket of a patient.

ตอนนี้มีพร้อมอยู่ในกระเป๋าคุณหมอดิจิตอล

From COVID quarantine kits

enabling tracking of oxygen saturation, temperature and lung sounds,

หรือกระเป๋าผู้ป่วย

ชุดอุปกรณ์สำหรับกักตัวของโควิด

สามารถติดตามวัดความเข้มข้นของออกซิเจน อุณหภูมิ และฟังเสียงปอด

we're starting to integrate these into virtual visits,

providing real-time enhancements of a virtual physical exam.

เราบูรณาการสิ่งเหล่านี้ ไปสู่การรักษาแบบเสมือนจริง

ให้เพิ่มเรียลไทม์ ตรวจร่างกายแบบเสมือนจริง

And the diagnostic tools are becoming increasingly infused

with AI machine learning,

และตัวช่วยวินิจฉัยโรค กำลังจะมีคุณภาพมากขึ้น

including consumer ultrasounds,

which can bring diagnostics anywhere at very low cost,

ด้วยตัวที่เป็นมันสมองของ AI

อัลตราซาวด์แบบพกพา

including the ability to evaluate the lungs

ที่สามารถวินิจฉัยโรคได้ทุกที่ และในราคาที่ถูก

in suspected COVID patients.

รวมถึงความสามารถในการ ประเมินปอด

The laboratory has shrunk to microfluidic platforms

คนที่สงสัยว่าจะติดโควิด

that can be attached to our smartphones

จากห้องแล็บกลายมาเป็น แพลตฟอร์ม วิทยาการไมโครฟลูอิดิกส์

and enable anyone to take measurements from blood or saliva.

ที่สามารถมีไว้ใช้ได้บนมือถือ

และไว้ให้ทุกคนตรวจวัด เลือด และ น้ำลาย

Many of these diagnostics are leveraging the smartphone and its camera

for a medical selfie.

การวินิจฉัยเหล่านี้กำลังผนวกเข้ากับ มือถือและกล้อง

For example, instead of taking your urine to the lab

สำหรับการถ่ายเซลฟี่ด้านการแพทย์

to diagnose a potential urinary tract infection,

ตัวอย่างคือ แทนที่ส่งปัสสาวะ ไปตรวจในห้องแล็บ

in the privacy of your home simply dip the urine dipstick,

เพื่อตรวจการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

take a picture with your smartphone camera

ก็ทำง่ายๆ แค่จุ่มแท่งตรวจลงไปในปัสสาวะ

and have the results made available immediately to your doctor and pharmacy.

ใช้มือถือถ่ายรูป

แล้วก็ได้ผลตรวจทันทีส่งถึง แพทย์และเภสัชเลย

Similar phone-based apps and approaches are being used and developed

for fast, frequent, cheap and easy COVID testing.

แอพมือถือและตัวอุปกรณ์ที่คล้ายๆกัน กำลังได้ใช้กันและก็กำลังพัฒนาไป

สำหรับการตรวจหาเชื้อโควิด ที่ง่าย รวดเร็ว ได้บ่อยครั้ง และราคาถูก

Novel approaches to community level diagnostics are also being explored,

including next gen sequencing of sewage for early detection of COVID-19,

การวินิจฉัยระดับชุมชนแนวทางใหม่ กำลังได้รับการสำรวจอยู่

รวมถึงอีกขั้นที่จะนำปัสสาวะ มาใช้ตรวจหาเชื้อโควิด 19

identifying hotspots and predicted outbreaks a week or more early.

ให้บริการฮ็อตสปอตท์ส่วนรวม คาดเดาการระบาด 1 สัปดาห์ก่อนรึเร็วกว่า

The explosion of data sources, however,

is really beyond the capacity of the human mind

การกระจายของแหล่งข้อมูล อย่างไรก็ตาม

to effectively integrate.

We're now getting help from AI,

ยังอยู่เหนือความสามารถของมนุษย์

or as I call it, IA, intelligence augmentation.

ให้เป็นการประมวลอย่างเป็นผล

เราใช้ AI ปัญญาประดิษฐ์ เป็นตัวช่วย

IA is being leveraged in reading CT scans to diagnose COVID,

หรือที่ผมเรียกว่า IA ที่เป็นปัญญาเสริม

IA กำลังถูกผนวกเข้าไป ใช้ในการอ่านผลซีทีสแกนเพื่อวินิจฉัยโควิด

to enhancing the vision of a gastroenterologist

performing a colonoscopy

ยกระดับในการมองเห็น ของแพทย์กระเพาะอาการและลำไส้

to identify lesions they might have missed.

And AI is playing an active role in helping identify

ในการส่องกล้องตรวจลำไส้

หาแผลหรือรอยโรคที่เราอาจจะมองข้ามไป

and develop new antivirals.

และ AI ก็กำลังใช้ปฎิบัติหน้าที่ในการค้นหา

And while AI is often perceived as a threat by some clinicians,

และพัฒนายาต้านไวรัสตัวใหม่

ในขณะที่ AI ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ แพทย์บางท่านคิดว่าจะเป็นภัย

it can't replace the human touch or empathy.

And I don't think doctors or nurses will be replaced by AI,

มันไม่สามารถนำมาแทนที่ ความเข้าใจ ความรู้สึกของมนุษย์

ผมไม่คิดว่า AI จะมาแทนที่ หมอและพยาบาลได้

but doctors and health care systems

who’re collaborating with AI in the future will be replacing those who don’t.

แต่แพทย์และระบบสาธารณสุข

ที่ทำงานร่วมกันกับ AI ในอนาคต จะมาแทนที่คนที่ไม่ได้ใช้มัน

Finally, therapy.

The pandemic has dramatically accelerated the use of virtual visits.

ท้ายที่สุด การรักษา

Telemedicine visits are up on the order of a thousand percent in many settings.

การระบาดทั่วโลกได้เร่งให้มี พบแพทย์แบบเสมือนจริง

And I don't think we'll ever revert to pre-COVID levels

โทรเวชได้ถูกนำไปใช้เพิ่มขึ้นเป็น 1000% ในหลายๆภาคส่วน

as patients and clinicians are discovering the compelling convenience and efficacy.

และผมก็ไม่คิดว่ามันจะกลับไปเหมือน แต่ก่อน ก่อนมีโควิด

ผู้ป่วยและแพทย์กำลังค้นพบ ความมั่นใจในความสะดวกและประสิทธิภาพ

Even before virtual zoom or facetime with the clinician,

asynchronous screening and support has been provided

ก่อนหน้านี้การประชุมซูม หรือเฟสไทม์กับแพทย์

by ever-smarter chat bots that can help discern symptoms

ก็มีการจัดหน้าจอ ที่เห็นภาพในเวลาเดียวกันไว้ให้

and triage problems effectively at lower cost.

หรือแม้บอทเจ้าหน้าที่ที่คอยตอบคำถาม และช่วยทำความเข้าใจอาการ

This includes virtualization

และคัดกรองปัญหาอย่าง มีประสิทธิภาพในราคาที่ถูก

and virtual augmentation to meet our mental health crisis,

รวมไปถึงการปฏิบัติแบบเสมือนจริง

exacerbated by the many economic and other stressors

และปรับเพิ่มคุณภาพความเหมือนจริง ให้เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพจิตของเรา

which accompany this pandemic.

ที่ทรุดหนักลงเพราะพิษเศรฐกิจ และตัวกระตุ้นความเครียดอื่นๆ

3D-printing is finding a role in health care,

ที่มาพร้อมกับการระบาดของโลกนี้

with newfound applications

from printing personal masks to critical parts of ventilators

การพิมพ์สามมิติได้เข้ามาเป็น ส่วนหนึ่งของวงการแพทย์

แอพพลิเคชั่นคุณภาพใหม่ๆ

and being leveraged by the growing maker movement,

ที่สร้างหน้ากากส่วนบุคคล ไปถึงในส่วนของเครื่องช่วยหายใจ

which is playing a major role in pandemic response,

เป็นผลที่ได้จากการเติบโต ของผู้ผลิตต่างๆ

from making face shields and masks

ที่ทำหน้าที่หลักในการรับมือกับการระบาด

to improvising do-it-yourself ventilators.

ตั้งแต่การผลิตเฟสชิวป้องกัน และหน้ากากอนามัย

All together, these efforts are enabling the potential

จนไปถึงพัฒนาเครื่องช่วยหายใจแบบใช้เอง

for democratization of health and medicine across the planet

ความพยายามทั้งหมดนี้ ข่วยสร้างศักยภาพ

and access to information and care that was previously inaccessible.

คิดพัฒนาด้านสุขภาพอย่างเป็นประชาธิปไตย อีกทั้งทางการแพทย์ของโลกนี้

Clinical trials are being reshaped, leveraging smart devices,

และการเข้าถึงข้อมูลและการดูแลรักษา ที่ก่อนหน้าที่เข้าถึงไม่ได้

การทดลองทางคลินิกก็ได้ปรับรูปแบบ ให้ใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ

cloud-based analytic platforms and collaborators around the world.

แพลตฟอร์มในการวิเคราะห์ข้อมูลบนคลาวด์ และผู้ร่วมมือจากทั่วมุมโลก

That's at this convergence of many rapidly developing

and exponential technologies

นั่นเป็นการผนวกกันของ การพัฒนาต่างๆอย่างรวดเร็ว

that we have the real potential to reshape

and scale health care at our pandemic age.

เทคโนโลยีที่เพิ่มมาเร็วขึ้น

ให้เรามีศักยภาพที่แท้จริงในการปรับโฉม

One where we can dramatically expand access to basic health care,

และเพิ่มระดับการดูแลสุขภาพ ในยุคโรคระบาด

increasingly personalized and proactive,

จนเราสามารถขยายวงกว้างในการเข้าถึง การดูแลสุขภาพเบื้องต้น

leveraging the scale of digital platforms and technologies,

มีการดูแลเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น

enhancing digital connection and empathy,

ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม ดิจิตอลและเทคโนโลยีที่โตขึ้น

and the ability to blend virtual and in-person care,

ยกระดับการเชื่อมต่อดิจิตอล และเข้าใจผู้คนในสังคม

and leveraging the power of the crowd to share and build better maps

สามารถที่จะผสมผสานการรักษา แบบเจอหน้ากันร่วมกับแบบเสมือนจริง

that guide our individual health

ดึงประโยชน์พลังของมวลชน ที่แบ่งปันข้อมูลและสร้างแผนที่สุขภาพดีดี

and public health journeys,

and to develop validated and scaled solutions.

เป็นแนวทางให้เราดูแลสุขภาพตัวเอง

ทั้งความเป็นไปของสาธาณสุข

So imagine a new generation of volunteers,

และพัฒนาให้มีผลสมบูรณ์ มีวีธีแก้ปัญหาที่ไต่ระดับขึ้นไปอีก

a global health corps

similar to the volunteer paramedics and firemen of today

ลองนึกภาพอาสาสมัครรุ่นใหม่ๆ

หน่วยงานด้านสุขภาพของโลก

that can be upskilled,

use the powerful new tools to respond early

ที่ใกล้เคียงกับหน่วยกู้ชีพฉุกเฉินอาสา หรือนักดับเพลิงปัจจุบันนี้

ที่สามารถยกระดับความสามารถ

and collectively to enhance contact tracing, isolation and quarantine,

ในการใช้อุปกรณ์ใหม่ ๆ เพื่อช่วยเหลือได้ไวขึ้น

เพิ่มการติดตาม คัดแยก และกักตัว

and to help identify and address social and other disparities.

เพื่อช่วยในระบุเป้าและบอกให้สังคม รวมทั้งจุดที่ยังเข้าไม่ถึงข้อมูล

So coming full circle.

Twenty four years after I was at the launch of Apollo 17,

กลับมาที่จุดเดิมอีกครั้ง

I found myself as a medical student on a research clerkship

24 ปีหลังจากที่ผมไปดู การปล่อยยานอพอลโล 17

at Johnson Space Center.

ผมก็ค้นพบตัวเองในฐานะ นักเรียนแพทย์ที่รับผิดชอบงานวิจัย

And much to my surprise, one day in the clinic,

I ran right into Gene Cernan,

ที่ศูนย์อวกาศจอห์นสัน

แล้วก็ตะลึงยิ่งไปอีก ที่วันหนึ่งในคลินิก

the Apollo 17 commander and the last man to walk on the Moon.

ผมได้กรู่เข้าไปหา จีน เซอร์นัน

After enthusiastically sharing my childhood memories of his launch,

นักบินอวกาศผู้บังคับยานอพอลโล17 ชายคนสุดท้ายที่เดินบนดวงจันทร์

he shared one of his famous lines:

หลังจากได้เล่าเรื่องราวในวัยเด็กให้เขาฟัง

"I walked on the Moon. What can't you do?"

เขาก็แชร์ผลงานที่โด่งดังของเขากับผมด้วย

Indeed, what can't we do if we work together as one

“ผมได้ไปเดินบนดวงจันทร์มาแล้ว จะมีอะไรอีกเล่าที่คุณทำไม่ได้”

in the face of this pandemic?

แน่นอนที่สุดครับ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ถ้าเราร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว

And just as the near tragedy of Apollo 13

ในการเผชิญหน้ากับปัญหาโรคระบาดนี้

rallied NASA to work creatively and collectively,

ซึ่งใกล้เคียงกับโศกนาฏกรรม ของยานอพอลโล 13

so too can this in our pandemic age lead to our finest hour,

นาซ่าได้รวมพลังในการทำงาน อย่างร่วมแรงร่วมใจและสร้างสรร

ในยุคโรคระบาดของเราก็เช่นกัน ก็ได้ชี้ให้เห็นคุณค่าของเวลา

bring on a true health age.

I believe this is possible if we all get out of our linear mindsets,

นำพวกเรามาซึ่งการรักษาสุขภาพที่ถูกวิธี

take exponential steps and collaboratively go forth collectively,

ผมเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ หากพวกเราทุกคน ทิ้งแนวคิดเดิมๆออกไป

ก้าวต่อไปอย่างรวดเร็วด้วยความร่วมมือกัน

not only to solve the challenges of this pandemic

and predict the future of health and medicine,

ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาโรคระบาดที่ท้าทายนี้

but boldly to go forth together

แต่มองไปถึงการแพทย์และสาธารณสุขในอนาคต

to accelerate a far better one for everyone on Spaceship Earth.

ที่ก้าวหน้าไปอย่างชาญฉลาด

ที่เร่งให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า สำหรับทุกคนบนโลกใบนี้

Thanks.

ขอบคุณครับ