John Doerr and Ryan Panchadsaram: An action plan for solving the climate crisis | TED Countdown

Translator: Sudarat Insawas Reviewer: Natthapat Mardech

Lindsay Levin: Good to see you both.

ลินซี่: ดีใจที่ได้พบทั้งสองท่านค่ะ

So the book is called "Speed and Scale."

ค่ะ หนังสือเล่มนั้นชื่อ “ความเร็ว และ ขนาด”

But I want to focus on the subtitle.

แต่ฉันอยากจะเน้นไปที่ข้อย่อย

The subtitle being -- where have I gone with this? --

หัวข้อย่อยอันที่เป็น ฉันเอาไปไว้ไหนแล้วล่ะ

"An action plan to solve our climate crisis now."

“แผนปฏิบัติการแก้วิกฤติสภาพอากาศบัดนี้”

What's the plan, John?

แผนการที่ว่าคืออะไรคะ จอห์น

John Doerr: The plan is to transform society.

จอนห์น โดเออร์: ก็คือแผนที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมครับ

LL: And what do you mean by that, transform society?

ลินซี่: มันหมายถึงอะไรคะ เปลี่ยนแปลงสังคมที่ว่า

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

JD: I thought you might ask that.

จอห์น: ผมคิดอยู่แล้ว ว่าคุณต้องถามคำนี้

There are six big objectives.

มันมีวัตถุประสงค์หลัก ๆ 6 ข้อครับ

We’re going to electrify transportation,

เราจะทำให้การคมนาคมเป็นระบบไฟฟ้า

which means stop using diesel and gas for our vehicles.

ซึ่งก็คือ หยุดใช้น้ำมันดีเซล และก๊าซสำหรับยานพาหนะของเรา

We're going to decarbonize the grid with wind and solar and nuclear.

เราจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ โดยใช้ลม แสงแดด และ นิวเคลียร์แทน

Third, we're going to fix our food systems.

ข้อสาม เราจะแก้ระบบอาหารของพวกเรา

And that includes eating less meat and dairy.

นั่นก็รวมไปถึง ทานเนื้อสัตว์และนมให้น้อยลง

Reducing food waste

ลดขยะอาหาร

and improving our soil health.

และพัฒนาคุณภาพดิน

Fourth, we're going to protect nature.

ข้อสี่ เราจะปกป้องธรรมชาติ

That's stopping deforestation.

นั่นก็คือหยุดการตัดไม้ทำลายป่า

Protecting our oceans,

ป้องกันมหาสมุทรของเรา

protecting our peatlands, our grasslands.

ป้องกันพื้นที่พรุ และทุ่งหญ้าของเรา

Fifth, we're going to clean up our materials,

ข้อห้า เราจะทำการขจัดวัสดุต่าง ๆ

how we make things like cement and steel.

จัดการวัสดุ เช่นพวกซีเมนต์ และเหล็ก

And then sixth,

และก็ข้อที่หก

we're going to have to figure out ways to remove the carbon that remains.

เราจะต้องค้นหาวิธีขจัดคาร์บอนที่ค้างอยู่

That stubborn, residual effects of emissions that cannot be eliminated.

มายาวนาน เป็นผลจากการปล่อยของเสีย ที่ไม่สามารถกำจัดได้

Every one of these six things is a major challenge.

ทุกข้อทั้งหกนี้ มันเป็นความท้าทายมาก

We've got to attack them all at once.

เราจะต้องกำจัดมันให้สิ้นทีเดียวเลย

LL: And how do we do that on time, Ryan?

ลินซี่: จะจัดการมัน ให้ทันได้ยังไงคะ คุณไรอัน

How are we going to get this done?

เราจะทำมันสำเร็จได้ยังไงคะ

Ryan Panchadsaram: So we've got to attack them all at once,

ไรอัน: เราก็จะจัดการมัน พร้อมกันทีเดียวเลยน่ะสิครับ

but we've got to move quickly.

แต่เราจะต้องเริ่ม อย่างเร็วเลย

And so the plan has four accelerants.

แผนการนี้มีตัวเร่ง สี่ อย่างด้วยกัน

Think of these as the levers that we can pull on equally.

คิดซะว่ามันคือชะแลง ที่เรางัดขึ้นพร้อมกัน

We've got to win the politics and policy,

เราจะต้องมีชัยชนะทาง การเมืองและนโยบายก่อน

so the commitments that are being made actually have follow through.

แล้วเราจะได้ทำตามสัญญาที่แจ้งไว้

And then we've got to turn movements into real action,

แล้วเราก็จะต้อง ลงมือปฏิบัติจริงกันเลย

at the ballot box

ที่ตู้หย่อนบัตรเลือกตั้ง

as well as in the corporate boardrooms.

และที่ห้องคณะผู้บริหารก็เช่นกัน

And then we've got to innovate.

แล้วก็จะต้องเปลี่ยนโฉม

Innovate to drive down the cost of clean technologies,

ปรับต้นทุนของเทคโนโลยีสะอาดให้ต่ำลง

and then we have to invest.

แล้วก็ต้องลงทุน

We have to invest in research, in deployment, in philanthropy.

เราต้องลงทุนกับการวิจัย ในการดึงทรัยากรมาใช้ การทำมูลนิธิช่วยเหลือ

We do all those things, Lindsay, we get to move faster.

เราทำมันทั้งหมดล่ะ คุณลินซี่ เราก็พัฒนาได้เร็วขึ้น

LL: So that's the plan in a nutshell, but what makes it different?

ลินซี่: นั่นคือแผนโดยสรุป ว่าแต่อะไรที่ทำให้แผนนี้แตกต่างไปคะ

JD: What's different about the Speed and Scale plan

จอห์น: ข้อแตกต่างเกี่ยวกับ แผนของความเร็วและขนาด

is it's based on objectives and key results.

คือมันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และ การวัดผลลัพธ์ความสำเร็จ

Or OKRs.

หรือ OKRs

If you're not familiar with them,

ถ้าคุณไม่คุ้นเคยกันมันละก็

what OKRs are is a proven system to set goals for success

OKRs มันคือระบบที่ ตั้งเป้าหมายเพื่อวัดความสำเร็จ

that's been used by large and small organizations alike.

เป็นระบบเดียวกันที่ใช้กันทั้งใน องค์กรเล็กและใหญ่

And the benefit of using them is they help you focus,

ประโยชน์ที่ได้ใช้มันก็คือ มันจะช่วยให้คุณมุ่งไปที่เป้าหมาย

get alignment, commitment

ไปตามแนวทาง และคำสัญญา

and track your progress over time so that we get everything done.

และติดตามความคืบหน้าที่ทำมา และรู้ว่าเราได้ทำทุกอย่างได้แล้ว

Objectives are what you want to have accomplished;

วัตถุประสงค์คือ สิ่งที่คุณอยากทำให้บรรลุผล

key results are how I get that done in time.

ผลลัพธ์คือ สิ่งที่จะเป็น ตัววัดความสำเร็จที่ได้ทำไปทันเวลา

Really good key results are concrete and measurable.

ตัววัดค่าความสำเร็จที่ดี คือรูปธรรมที่วัดค่าได้

And so they're what turn a set of goals into a real action plan.

และนั่นก็คือการเปลี่ยนเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไปสู่แผนการปฏิบัติจริง

LL: Can you give us an example, Ryan?

ลินซี่: มีตัวอย่างให้เราไหมคะ ไรอัน

RP: Yeah, of course.

ไรอัน: อ้อ มีสิครับ

So let's pick on that first objective,

ไปที่วัตถุประสงค์ข้อแรกกันเลยครับ

to electrify transportation, which cuts six gigatons.

ทำให้การคมนาคมเป็นระบบไฟฟ้า ที่จะขจัดคาร์บอน หก กิกะตัน

So every set of these objectives have a handful of key results.

ดังนั้นในทุก ๆ วัตถุประสงค์ที่จะเต็มไปด้วย ผลลัพธ์ที่วัดความสำเร็จได้

And so for this first one, there are six.

และนี่ก็คือเป้าหมายแรก ในหกข้อ

An example of one is the price of electric vehicles

ตัวอย่างข้อแรกก็คือ ราคาของยานพาหนะไฟฟ้า

have to be cheaper

จะต้องมีราคาถูกลง

than the fossil-fuel equivalent by 2024.

กว่าราคาน้ำมันในปี 2024

Or another one, by 2025,

หรือพลังงานอื่นในปี 2025

all new buses have to be electric, all the new purchased ones.

รถประจำทางใหม่ทั้งหมด จะต้องเป็นรถไฟฟ้า ทุกคันที่ซื้อใหม่

And so these key results tell us if we're making progress

และนี่ก็คือผลลัพธ์ที่จะบอกเรา ได้ว่าเรามีพัฒนาการ

and if we're getting there on time.

และหากเราทำมันได้ทันเวลา

And so if electric cars are still expensive

หากรถยนต์ไฟฟ้ายังแพงอยู่

or we're still seeing diesel buses sold after 2025,

หรือเรายังคงเห็นรถบัส พลังงานน้ำมันขายอยู่หลังปี 2025

we know we're off track and we have to course correct.

เราก็รู้ละว่า มันไม่เป็นไปตามแผน และต้องแก้ไข

LL: So what I hear you saying is that we need to be accountable,

ลินซี่: ที่คุณพูดเนี่ย มันเป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ

we need to be super ambitious,

เราจำเป็นต้องกระตือรือร้น

we need to be very practical because of the scale of change needed.

เราต้องนำมาปฏิบัติจริง เพราะว่าทั่วทุกที่ต้องเปลี่ยนแปลง

Now, John, you have helped grow some of the most successful companies

เอาล่ะจอห์น คุณได้ช่วยสร้างความเจริญ ให้กับบริษัทที่ประสบความสำเร็จที่สุด

in the world.

ในโลกใบนี้

And when I think about the conversations that go on in boardrooms,

เวลาฉันนึกถึงการพูดคุย กันในห้องผู้บริหาร

I can't help but think

ฉันก็ได้แต่คิด

that some of the leaders there will be frankly daunted,

ว่าผู้นำบางคนต้องมีความเคลือบแคลงสงสัย

maybe aghast, even horrified

เป็นไปได้ที่จะตกใจ และกลัว

at the scale and speed and breadth and depth

กับขนาด ความเร็ว ความกว้าง และความลึก

of the transformation that you're talking about.

ในการเปลี่ยนแปลงที่คุณพูดถึง

What is your message to your business peers?

คุณจะบอกอะไรกับเหล่านักธุรกิจของคุณไหม

JD: My message to them is simple.

สิ่งที่อยากจะบอกพวกเขา ก็ง่าย ๆ เลยครับ

It's that climate change has been underhyped,

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้ถูกชี้แจ้งอย่างทั่วถึง

underhyped.

ไม่มีการชี้แจง

We are underestimating

เราประเมินมันต่ำเกินไป

the economic opportunity

โอกาสทางด้านธุรกิจ

and the risk in this transition.

และก็ความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงนี้

The human cost,

พนันด้วยชีวิต

the economic toll that can come if we don't seize this opportunity,

ค่าเสียหายทางเศษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ หากเราปิดกั้นโอกาสนี้ไป

which could create 25 million jobs, new jobs,

ซึ่งมันสามารถสร้างงานใหม่ได้ 25 ล้านงาน

in the next decade alone --

แค่ในสิบปีข้างหน้า

or wreck our communities.

หรือพังทลายชุมชนของเรา

I want to ask you, friends,

ผมอยากจะถามเพื่อน ๆ

how much more damage do we have to endure

ความสูญเสียอีกมากแค่ไหน ที่เราต้องทนกับมัน

before we realize that it's cheaper to save this planet than to ruin it?

ถึงเราจะคิดได้ว่า การช่วยโลกใบนี้ มันถูกกว่าการทำลายอีกนะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

LL: One of the things that people often say about climate change

ลินซี่: หนึ่งในสิ่งที่คนพูดถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศบ่อย ๆ

is that we already have all of the solutions that we need,

คือว่าเรามีทางเลือกที่เราต้องการแล้ว

and the real issue is that we’ve just got to get on and implement them.

และปัญหาจริง ๆ ก็คือว่า เราจะต้องลงมือและทำให้เกิดผล

And I believe and I read in the book

ฉันเชื่อว่าที่ฉันอ่านในหนังสือ

that you're saying that's not enough, Ryan,

ที่คุณบอกว่ามันไม่เพียงพอ ไรอัน

talk to us about that.

ช่วยพูดถึงมันหน่อย

Why do we need something more than what we already have?

ทำไมเราถึงต้องการอะไรมากไปกว่าที่เรามีอีก

RP: I think of it as a “yes, and,” right?

ไรอัน: ผมคิดถึงคำพูดที่ว่า “ใช่ และก็...” ถูกต้องไหมครับ

We have 85 percent of the solutions that we need.

เรามีวิธีแก้ 85 เปอร์เซ็นต์ที่เราต้องการ

Record lows of solar and wind prices means deployments around the world,

บันทึกราคาแสงอาทิตย์และลมที่ต่ำลง บอกถึงการใช้รอบโลก

the dropping cost of lithium-ion batteries means we're seeing more electric vehicles.

การลดลงของราคาแบตเตอรี่ บอกได้ว่ามีรถรถไฟฟ้าใช้มากขึ้น

But those solutions alone won't get us to net-zero.

แต่แค่วิธีแก้เหล่านั้นมันไม่ทำให้ ก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ได้

And so we're going to have to both deploy and invest in the now

ดังนั้นเนี่ย เราจะต้องทั้งปรับใช้ และก็ลงทุนอย่างจริงจังตอนนี้เลย

as well as invent the new.

รวมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่

So we need the now and the new,

เราจึงต้องทำเลย และสร้างสิ่งใหม่

we need to scale up what we have as well as invest in the future.

เราต้องยกระดับสิ่งที่เรามี ร่วมไปกับการลงทุนในอนาคต

And there are two pretty tangible examples, right,

และก็มีสองตัวอย่างที่จับต้องได้ ใช่ไหมครับ

when you think of solar and wind as it gets deployed,

เมื่อคุณนึกถึงพลังงานแสงอาทิตย์ และลมที่ถูกนำไปใช้

you can't turn that on and off when you need it, right?

คุณไม่สามารถปิดเปิดมัน เมื่อคุณต้องการมัน ใช่ไหมครับ

So a grid needs to find a way to fill its gaps.

มันจึงต้องมีอะไรมาเติมเต็ม

Hence, next-level battery technologies or even safer nuclear.

ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ขั้นต่อไป หรือแม้แต่นิวเคลียร์ที่ปลอดภัยขึ้น

One of those could fill the gaps.

หนึ่งในนั้นเนี่ยจะ เติมส่วนที่ขาดได้

Or think about how much we fly.

หรือนึกถึงว่าเราบินบ่อยแค่ไหน

Carbon-neutral fuels need to be developed,

พลังคาร์บอนธรรมชาติจำเป็นต้องพัฒนา

and the cost needs to be driven down.

และราคาของมันต้องถูกลง

The goal of all of this at the end of the day

ในท้ายที่สุด เป้าหมายของทั้งหมดนี้

is to try to take these green premiums,

ก็คือ พยายามใช้หลักการ ทางเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน

and if they can become green discounts we’ll see this technology everywhere.

และถ้ามันสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ เราก็จะเห็นเทคโนโลยีนี้ทุกหนแห่ง

LL: One of the things in the book is carbon removals,

ลินซี่: สิ่งหนึ่งในหนังสือนี้ ก็คือการขจัดคาร์บอน

which you believe is imperative to solving this problem.

ซึ่งคุณเชื่อว่ามันจำเป็น ในการแก้ปัญหานี้

And when people think about carbon removals,

และเมื่อคนนึกถึง การขจัดคาร์บอน

they get understandably suspicious.

พวกเขาก็จะเอะใจคิด

Because historically, it's been an excuse for inaction.

เพราะจากประวัติแล้วเนี่ย มันได้เป็นข้ออ้างของการนิ่งเฉย

We can continue polluting, and we’ll clean up later.

เรายังคงก่อมลพิษกันต่อไป แล้วค่อยขจัดมันทีหลัง

You're telling us in your view

คุณบอกมุมมองของคุณกับเราว่า

that carbon removals are an imperative piece of the plan.

การขจัดคาร์บอนคือสิ่ง จำเป็นหนึ่งในแผนการนั้น

Can you describe why and what you mean by that?

คุณอธิบายหน่อยได้ไหม ว่าทำไม มันหมายถึงอะไรกันแน่

RP: Of course. I mean, people should be suspicious.

RP: ได้ครับ ผมหมายถึง ประชาชนควรจะต้องสงสัย

Carbon removal needs to be the last piece.

การขจัดคาร์บอนจะต้องเป็นสิ่งสุดท้าย

So as an organization, if you're trying to get to net-zero,

ในฐานะขององค์กรหนึ่ง หากคุณพยายามให้การปล่อยก๊าซเป็นศูนย์

the first thing you have to do is cut, right?

สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การขจัดมัน ใช่ไหมครับ

Pick the alternative, pick the electric alternative.

เลือกตัวทดแทน เลือกไฟฟ้าทดแทน

Then you’ve got to be more efficient.

คุณจะใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ

So you've got to cut, become more efficient,

ดังนั้น เราต้องขจัดมัน ให้มันเกิดประสิทธิผล

and then Lindsay, then people can rely on carbon removal.

จากนั้นแล้ว คุณลินซี่ครับ ประชาชน ก็จะอยู่กับการขจัดคาร์บอนได้

But when you look at all the models from IPCC or even our rough modeling,

แต่เมื่อคุณมองที่ตัวอย่างจาก IPCC หรือแม้แต่ตัวอย่างที่แย่ ๆ

you're still going to have 10 gigatons left over.

คุณก็ยังคงจะมี 10 กิกะตันเหลืออยู่อีก

And so we've got to invest in carbon-removal technologies

ดังนั้นเราต้องมีการลงทุน ในเทคโนโลยีกำจัดคาร์บอน

that are both nature-based as well as engineered,

ทั้งด้วยวิธีทางธรรมชาติ และวิธีทางการช่าง

because we're going to need it in the future.

เพราะเราจำเป็นต้องใช้มัน ในอนาคต

LL: Climate justice.

แก้สภาพอากาศ อย่างเป็นธรรม

Let's talk about climate justice.

มาคุยถึงการแก้ อากาศที่เป็นธรรม

It's a big theme in the book.

มันคือสาระสำคัญในหนังสือนี้

John, you are an affluent white American,

จอห์น คุณคือชาวอเมริกัน ผิวขาวผู้มั่งคั่ง

white male American.

ผู้ชายอเมริกันผิวขาว

Yay, exactly.

ค่ะ ใช่เลยค่ะ

Any more of those in the room? Yeah.

อีกหลายคนเลยในห้องเนี่ยค่ะ ใช่มะ

Tell us, from your viewpoint,

บอกเราหน่อยค่ะ ในมุมมองของคุณ

how do you think about this question of climate justice?

คุณคิดยังไงกับคำถาม การแก้สภาพอากาศอย่างเป็นธรรม

JD: You know, when you think about it,

จอห์น: ก็คือ เมื่อคุณนึกถึงมัน

climate justice,

การแก้ปัญหาสภาพอากาศ บนพื้นฐานที่เป็นธรรม

climate change, amplifies inequities.

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขยายความไม่เท่าเทียมเป็นวงกว้าง

Those who suffer the most

คนที่ได้รับผลกระทบที่สุด

have done the least to cause this problem.

เป็นคนก่อปัญหานี้น้อยที่สุด

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

And what that means is that the US,

และนั่นก็คือการที่ว่าสหรัฐอเมริกา

as the world's historic biggest emitter,

ในฐานะเป็นผู้ปล่อยก๊าซมากที่สุดในโลก

must decarbonize first.

ต้องเริ่มขจัดคาร์บอนก่อนเลย

We've got to do that for two reasons.

เราต้องทำมันเพราะเรามี เหตุผลสองข้อครับ

To show the world that it's possible.

แสดงให้โลกเห็นว่ามันทำได้

And to drive the cost down for everyone else.

และทำให้ราคามันต่ำลง สำหรับทุกคน

More broadly,

อย่างทั่วถึง

the US, Europe and China

อเมริกา ยุโรป และจีน

have to step forward and fund the transition --

ต้องก้าวนำมาก่อน และให้ทุนในการเปลี่ยนแปลงนี้

all of the costs -- for a transition to a new clean economy.

ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในการเปลี่ยนโฉม เป็นเศรษฐกิจใหม่อย่างสะอาด

Third, as we stop using fossil fuels,

ข้อสาม การที่เราหยุดใช้น้ำมัน

some of our communities,

ในบางชุมชมของเรา

their livelihoods are going to be left behind.

อาชีพของเขาอยู่จะต้องถูกทิ้งไป

Those jobs are going to evaporate.

งานนั้น ๆ ก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป

And so we've got to guarantee that the good-paying jobs

ดังนั้น เราต้องรับประกันว่า จะมีงานค่าจ้างที่ดี

of the new clean economy are available to them.

ในเศรษฐกิจใหม่ที่สะอาดนี้ ไว้รองรับพวกเขา

LL: I want to finish by asking you about leadership.

ลินซี่: ฉันอยากจะจบมันด้วย การถามคุณเกี่ยวกับผู้นำ

So you say that the book is written for the leader inside us?

ที่คุณว่าหนังสือได้ถูกเขียนไว้ ให้กับผู้นำของพวกเรา

What's your call to action?

คุณต้องการเรียกร้องอะไร

เรามีผู้นำคนอื่น ๆ นั่งอยู่ที่นี่

We have leaders sitting in the room,

we have leaders listening.

เรามีผู้นำคนอื่น ๆ ที่ฟังอยู่

What's the message to leaders?

อยากจะส่งสารอะไรกับผู้นำเหล่านี้คะ

JD: Well, first, let's be clear,

จอห์น: ครับ อันดับแรก เอาชัดๆเลยนะครับ

individual actions are needed and expected.

การลงมือของแต่ละคน เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นที่คาดหวัง

But they are not going to get us where we need to go

แต่เราจะไปถึงที่หมายไม่ได้เลย

in this, the decisive decade,

ในทศวรรษที่ว่านี้

when we have to cut emissions in half by 2030.

เมื่อเราต้องขจัดการปล่อย ก๊าซลงครึ่งหนึ่งให้ได้ในปี 2030

Only concerted global action is going to get this job done.

การปฏิบัติร่วมกันของโลกเท่านั้น ที่จะทำมันให้สำเร็จได้

And so we need each of us

เราต้องช่วยกันและกัน

to mobilize others into action.

ในการระดมพลังลงมือทำด้วยกัน

That's what I mean by the inner leader inside each of us.

นั่นแหละที่ผมหมายถึง ในจิตใจของผู้นำของเรา

And we can be inspired by the actions and the stories in this book.

เราสามารถเป็นแรงบันดาลใจ โดยการปฏิบัติและเรื่องราวในหนังสือนี้

Like parents and teachers in Maryland

เหมือนกับครอบครัวและครูที่แมรี่แลนด์

who switch all the school buses to be electric.

ผู้ที่เปลี่ยนรถโรงเรียน เป็นรถไฟฟ้า

Like workers who are demanding that their organizations,

เหมือนคนทำงานที่ สั่งให้องค์กรของพวกเขา

their companies and employers

บริษัทและนายจ้างของเขา

both commit and then meet the net-zero commitments.

ยอมรับและตกลงที่จะ ลดก๊าซให้เป็นศูนย์

Or the protesters

หรือผู้ประท้วง

who today are opposed to this Campbell offshore oil development.

ที่วันนี้คัดค้านการพัฒนา น้ำมันนอกฝั่งแคมป์เบลนี้

Audience: Yes!

ผู้ฟัง: ใช่เลย

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

JD: In my experience and in this plan,

จอห์น: จากประสบการณ์ของผม แผนการนี้

when people strive for extraordinary things --

เมื่อประชาชนต่อสู้ เพื่อสิ่งที่พิเศษ

and not just strive, but plan to get there --

และไม่เพียงแต่ต่อสู้ แต่ยังเป็นแผนที่จะไปให้บรรลุ

the results can surpass all expectations.

ผลลัพธ์นี้สามารถเป็นได้เกินกว่าที่หวังไว้

I want to tell you, friends,

ผมอยากจะบอกกับคุณครับ เพื่อน ๆ

we've got to pull together, we've got to act together,

เราต้องรวมใจกัน เราต้องร่วมมือกัน

we’ve got to act now.

เราต้องลงมือตอนนี้เลย

Because we are fast running out of time.

เพราะเราเหลือเวลาไม่มากละครับ

LL: Ryan, a final thought for leaders of your generation.

ลินซี่: ไรอัน ข้อสรุปสำหรับผู้นำของ คนยุคคุณค่ะ

When you think about your peers,

เมื่อคุณนึกถึงผู้นำนั้น ๆ ของคุณ

are people ready,

เขาพร้อมไหม

are you seeing a shift in terms of people's capacity and willingness

คุณเห็นถึงความเต็มใจ ความสามารถของพวกเขาไหม

to step up and create this different future?

ที่จะก้าวเข้ามาสร้าง อนาคตที่แตกต่างไปนี้

RP: Absolutely, absolutely.

ไรอัน: ครับ แน่นอนเลยครับ

I think this is, like, a time

ผมคิดว่า นี่คือเวลา

for intergenerational teaming up on these things.

สำหรับการรวมตัวระหว่างวัย สำหรับสิ่งเหล่านี้

I think one of the things

ผมนึกถึงสิ่งหนึ่งในนั้น

that in doing the research for the book we found is

ที่ว่าการทำวิจัย สำหรับหนังสือที่เราค้นพบ

the leverage points don't take millions of people.

พลังอำนาจ ไม่ต้องใช้คนเป็นล้าน

The leverage points just take five or 10 people coming together

พลังอำนาจแค่ใช้คนแค่ห้าถึง สิบคนร่วมแรงกัน

and saying, "This policy shouldn't happen,"

และกล่าวไปว่า “นโยบายนี้ไม่ควรจะต้องมี”

or, "This research needs to be done

หรือ “การวิจัยนี้จำเป็นต้องสมบูรณ์

to show why we shouldn't go down this path,"

เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่ควร ต้องเดินทางนี้

or in the world that we both are in,

หรือในโลกที่เราทั้งคู่อยู่นี้

just three people coming together to start a company.

แค่สามคนมาร่วมมือกัน ในการเปิดบริษัทหนึ่ง

So I think our generation is jumping full into this, Lindsay.

ดังนั้นผมว่ารุ่นของพวกเรา พร้อมลงแรงในเรื่องนี้ครับ คุณลินซี่

We can't wait to work with --

เราตื่นเต้นที่จะทำมันครับ

LL: Brilliant. We wish you --

ลินซี่: เยี่ยมค่ะ เราหวังว่า

JD: Let's do this with speed and scale.

จอห์น: มาเร่งลงมือกันและ ขยายขนาดไปทุกที่กันครับ

LL: Speed and scale.

ลินซี่: ความเร็วและขนาด

And we wish you the very best with the plan.

เราขอให้แผนของคุณประสบความสำเร็จ

Thank you, thank you.

ขอบคุณนะคะ ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)